บ่อยครั้งที่ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน มักถูกหยิบยกมาใช้ในบริบทที่ไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะระบบสวัสดิการสังคมที่ทุกคนควรได้รับ กลับถูกทำให้กลายเป็นการแข่งขันโดยใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจเป็นที่ตั้ง ทำให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความเหลื่อมล้ำกลายเป็นผู้อ่อนแอไป
ค่ำวันที่ 23 สิงหาคม 2564 จึงเกิดวงสนทนาบน Clubhouse ว่าด้วยเรื่องของค่าสมัครสอบเลือกอันดับเข้ามหาวิทยาลัย 900 บาท ที่ ดร.พีระพงศ์ ตริยเจริญ ผู้จัดการระบบการคัดเลือกกลางบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา หรือ TCAS บอกว่าไม่แพง โดยไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่นักเรียนต้องเผชิญในความเป็นจริง
ภาระค่าใช้จ่ายล้น ตัดโอกาสเด็กยากจนไม่ให้ไปต่อ
“900 บาทไม่แพง แต่สำหรับครอบครัวจำนวนมาก มันคือค่ากินค่าอยู่ 2-3 สัปดาห์”
ระหว่างรอผู้เข้าร่วมวงสนทนาตระเตรียมความพร้อม ‘ครูฮูก’ หรือ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มต้นด้วยการย้ำถึงปัญหาของทัศนะดังกล่าว ก่อนจะเล่าต่อว่า สำหรับหลายๆ ครอบครัว เงิน 900 บาท คือค่าใช้จ่ายในหลายสัปดาห์ เป็นทั้งค่ากินอยู่จากค่าแรงขั้นต่ำอย่างน้อย 3 วันขึ้นไป และค่าทำงานพิเศษของนักเรียนเองไม่ต่ำกว่า 30 ชั่วโมง แน่นอนว่าค่าสมัครสอบต่างๆ ที่รวมแล้วไม่ต่ำกว่า 1,500-2,000 บาท จึงเป็นปัญหาสำหรับเด็กฐานะยากจน ที่เพียงแค่ค่ายื่นอันดับกลับมากถึง 900 บาทแล้ว
ผู้ร่วมสนทนาอีกรายซึ่งเป็นครูแนะแนวโรงเรียนขนาดเล็กพิเศษ ชี้ว่า ปัญหาเรื่องค่าสมัครสอบสร้างภาระค่าใช้จ่ายให้เด็กทุกปี แต่ด้วยการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เพิ่มขึ้น การดิ้นรนที่มากขึ้น ทำให้เด็กต้องพยายามเดินตามความฝัน
“เมื่อนักเรียนคนหนึ่งที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความฝันอย่างเต็มเปี่ยม แต่ติดตรงที่ว่าเขามีฐานะทางการเงินไม่พร้อม บางคนจึงต้องทำงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าสมัครและค่ายื่นเลือกอันดับ” ก่อนที่ครูแนะแนวจะโยนคำถามทิ้งท้ายว่า “ทำไมเขาต้องตัดโอกาสตัวเองโดยการเลือกอันดับให้น้อยลง เพียงเพราะมีเงินไม่ถึง 900 บาท”
นอกจากนี้ ด้วยภาวะโรคระบาดอาจมีการออกมาตรการให้ต้องตรวจเชื้อโควิด ซึ่งท้ายที่สุดจะถูกผลักให้เป็นภาระของนักเรียน
ครูผู้ร่วมสนทนาท่านหนึ่ง ในฐานะติวเตอร์ SAT-Math ได้ยกตัวอย่างของการสอบที่จังหวัดเชียงรายขึ้นมาว่า อาจเป็นโมเดลของมาตรการจัดสอบ โดยผู้เข้าสอบต้องฉีดวัคซีนครบทั้ง 2 เข็ม หรือมีผลตรวจ RT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง หรือหลักฐานการกักตัว 14 วัน อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นอีกมหาศาลจากการเดินทางเพื่อสอบในสนามต่างๆ หลายครั้ง ในขณะที่สภาวะโรคระบาดส่งผลให้ครอบครัวของนักเรียนหารายได้ไม่ได้
“เด็กในต่างจังหวัดแทบไม่มีทางเลือกสมัคร TCAS เลย เลือกได้เพียง 1-2 รอบเท่านั้น” ครูโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในพื้นที่ห่างไกล เล่าถึงผลกระทบทั้งจากโรคระบาด และระบบ TCAS ยิ่งนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ยิ่งต้องตัดโอกาสของตัวเองโดยการเลือกอันดับให้น้อยลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ครูสะท้อนว่า นักเรียนในพื้นที่ห่างไกลต้องดิ้นรนมากขึ้น เด็กต้องเก็บหอมรอมริบจากค่าจ้างวันละไม่เกิน 150 บาท อีกทั้งเด็กมีโอกาสในรอบ 1-2 ที่เป็นรอบโควต้าและ portfolio น้อยลง เพราะการทำกิจกรรม การประกวด หรือโอกาสในการสะสมผลงานที่น้อยลง
ถึงแม้หลายคนจะมีสิทธิ์ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยจากอันดับที่เลือกแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเข้าเรียนได้ทันที เพราะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา
“พอสอบติดแล้วก็ใช่ว่าเราจะได้เรียนเลย เราต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมอีกเพื่อเป็นการยืนยันสิทธิ์ ซึ่งเรากู้ กยศ. ได้ แต่เราก็ต้องมีเงินสำรองจ่ายก่อน เพราะ กยศ. จะโอนคืนทีหลัง แล้วคนที่ไม่มีสำรองจ่ายจะทำยังไง”
#dek64 ผู้หนึ่งที่ร่วมแชร์ประสบการณ์ว่า TCAS ทำให้หลายคนต้องเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะไม่มีเงินสำหรับจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา ผู้ร่วมสนทนาจึงเสนอว่า ค่าเลือกอันดับควรจะฟรี เพราะการมองว่าเงิน 900 บาท คือราคาที่ถูกแล้ว อาจเกิดจากความไม่เข้าใจหัวอกคนที่ลำบาก หรืออาจเข้าใจแต่ไม่ใส่ใจ
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2021/08/pexels-dziana-hasanbekava-7063769.jpg)
ระบบ TCAS ออกแบบเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ?
“คำหนึ่งที่ผมจำได้เข้าหัวเลย คือลดการวิ่งไล่สอบและลดความเหลื่อมล้ำ แต่ผ่านมาหลายปีแล้ว TCAS ไม่ได้ลดความเหลื่อมล้ำอะไรเลย มันกลับเป็นตัวขยี้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น”
ครูแนะแนวผู้หนึ่งซึ่งเป็นด่านหน้าในการอธิบายระบบ TCAS ให้นักเรียนฟัง นึกย้อนถึงจุดประสงค์ของ TCAS ครั้งแรก ครูได้ขยายความความเหลื่อมล้ำนี้ว่า เห็นได้ตั้งแต่การเลือกอันดับราคาอันดับละ 150 บาท บางคนต้องเลือกถึง 10 อันดับเพื่อความแน่นอน ระบบ TCAS จึงเป็นระบบที่บังคับให้ทุกคนต้องพร้อม ทั้งที่ระบบเองยังไม่มีประสิทธิภาพที่ดีเพียงพอนับแต่ปี 2561 และแย่ลงเรื่อยๆ
“ผมเคยฟังมุมมองของอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีส่วนร่วมออกแบบระบบ” ผู้ร่วมสนทนาคนต่อมาที่เป็น #dek63 กล่าวถึงอีกมุมของระบบ TCAS โดยการสรุปย่อมุมมองของอาจารย์ท่านนั้น และจากประสบการณ์ของตัวเอง
รอบที่ 1 ถูกจัดขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกให้เด็กกิจกรรมเข้าสู่ระบบได้ง่ายขึ้น แต่เกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยต่างกัน รวมถึงบางมหาวิทยาลัยมีโควตาที่นั่งจำกัดสำหรับแต่ละโรงเรียน ยิ่งในภาวะโควิดที่ทำให้นักเรียนไม่มีโอกาสไปแข่งขันในเวทีต่างๆ แม้โรงเรียนจะพยายามเพิ่มเกียรติบัตรให้ แต่นักเรียนก็กังวล เนื่องจากมองว่าควรได้รับจากหน่วยงานภายนอกจึงจะน่าเชื่อถือ ส่วน TCAS รอบที่ 2 มีขึ้นเพื่อให้เด็กแต่ละภูมิภาคสามารถเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่มีเกณฑ์ว่าต้องอยู่ภูมิลำเนานั้นๆ อย่างน้อยกี่ปีจึงจะสมัครได้ รอบที่ 3.1 เน้นที่คะแนนสอบ เพื่อให้นักเรียนที่มีคะแนนสูงเข้าเรียนได้ ขณะที่รอบที่ 3.2 มีขึ้นเพื่อให้เด็กที่ขยัน แต่เรียนไม่เก่ง โดยใช้เกรดเฉลี่ยและคะแนนการสอบต่างๆ แต่มาตรฐานในการให้เกรดเฉลี่ยของแต่ละโรงเรียนก็มีความต่างกัน
ปัญหาที่เกิดขึ้นในปี 2561 คือ การไม่จัดลำดับในรอบที่ 3 ทำให้นักเรียนบางคนสอบได้ 4 ที่ จึงมีที่นั่งเหลือและคะแนนเฟ้อ ทำให้ในรอบ 3-4 นักเรียนอาจต้องคว้าที่นั่งที่ตัวเองไม่ต้องการ
ขณะที่ในปีการศึกษา 2565 ที่จะถึงนี้ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.)ได้ประกาศยกเลิกการสอบ O-NET ปัญหาที่นักเรียนแบกรับจึงถาโถมเข้าอีกยกหนึ่ง
“มันผลักภาระไปอยู่ที่เด็กทันที” ผศ.อรรถพล กล่าว “เนื่องจากเดิมการสอบ O-NET เป็นการสอบที่เด็กไม่ต้องเสียสตางค์สอบ นักเรียนที่จะจบ ม.6 ก็สามารถสอบได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายและสามารถใช้คะแนนไปยื่นเข้ามหาวิทยาลัยทั้งของรัฐ เอกชน และภูมิภาคได้ แต่พอปีนี้ยกเลิกการใช้คะแนน O-NET ในการยื่น TCAS โดยเฉพาะรอบ 3 ที่เป็นระบบการยื่นกลาง มันเลยเป็นผลักภาระให้เด็กทุกคนที่จะจบ ม.6 ต้องจ่ายสตางค์ในการสมัครสอบด้วยกลไกแบบใหม่ ทำให้กลไกเดิมที่เป็นเครื่องมือได้ข้อมูลป้อนกลับไปสะท้อนการจัดการศึกษามันหมดพลัง
“ผมไม่ได้มีปัญหากับการจัดสอบ GAT/PAT 9 วิชาฯ ถ้าตราบใดมันยังเป็น option อยู่ ปัญหาใหญ่ปีนี้มันกลายเป็นภาคบังคับที่ทุกคนต้องสอบ ซึ่งมันเกิดขึ้นในปีที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมเปราะบางสำหรับเด็กมากๆ”
นอกจากนี้ การแจ้งว่ามีแผนสำรองแต่ไม่เปิดเผย ยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นที่มีต่อ ทปอ. เอง ผู้เข้าร่วมท่านหนึ่งมีความเห็นว่า มันแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดของผู้มีอำนาจในสังคม โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบจากแผนนั้นไม่มีส่วนร่วมกับการวางแผนตั้งแต่ต้น ทั้งนักเรียนและครูก็ไม่รู้ว่าจะจัดการเรียนการสอนอย่างไร โรงเรียนจะจัดสอบปลายภาคเมื่อไร เพื่อไม่ให้ทับซ้อนกัน การไม่มีแผนที่ชัดเจนหรือประกาศแผนกะทันหัน ทำให้ทุกส่วนได้รับผลกระทบกันเป็นทอดๆ
เนื้อหาในการสอบก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่งของมาตรฐานแกนกลาง ในขณะที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ระบุว่าให้ใช้เฉพาะตัวชี้วัดที่ควรรู้ แต่ก็ไม่ทราบว่าผู้ออกข้อสอบใช้เนื้อหาจากที่ใดบ้างมาออกสอบ
เห็นได้ว่าอีกประเด็นปัญหาหนึ่งของระบบคัดเลือกคือเรื่องข้อสอบ ครูแนะแนว หนึ่งในผู้ร่วมสนทนา ชวนตั้งคำถามถึงประเด็นนี้ว่า เหตุใดจึงไม่เคยมีการเปิดเผยค่าคุณภาพของข้อสอบ
“ก่อนหน้านี้ที่เราบังคับใช้ข้อสอบ O-NET อยู่ ก็จะมีพาดหัวข่าวตลอดว่าเด็กตก O-NET ทั้งประเทศ ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนเด็กมีคุณภาพแย่ลง แต่ยังไม่เห็นมีใครตั้งคำถามเลยว่า มันเป็นที่ข้อสอบหรือเปล่า มันมีค่า item difficulty เพิ่มขึ้นหรือเปล่า หรือตัวข้อสอบมันแยกคนเก่งกับคนอ่อนได้จริงไหม”
ครูท่านนี้เล่าว่า ระบบกลับให้ครูสนใจกับการสอนให้ตรงกับตัวชี้วัดเท่านั้น ซึ่งการเรียนออนไลน์ครูถูกกดดันให้ลดเวลาสอนและตัดตัวชี้วัดที่ไม่จำเป็นออก ขณะเดียวกันครูเองก็ไม่รู้เลยว่าข้อสอบแกนกลางที่เด็กจะต้องสอบนั้น ตัดตัวชี้วัดออกด้วยหรือไม่ ทำให้ครูไม่กล้าลดเนื้อหาและต้องให้งานนักเรียนเพิ่ม และนักเรียนต้องจ่ายเงินไปเรียนพิเศษเพิ่มอีกด้วย
ผศ.อรรถพล แนะว่า ทปอ. ต้องทบทวนระบบการทำงานของตัวเอง หากคิดว่านักเรียนคือลูกค้า ก็ไม่มีองค์กรใดที่ดูแลลูกค้าที่จ่ายเงินให้กับตัวเองโดยไม่ได้คำนึงถึงชีวิตและสิ่งที่ลูกค้าต้องเจอ ระบบ TCAS จึงเป็นระบบที่ปัญหาเก่ายังไม่ถูกแก้และสร้างปัญหาใหม่เพิ่มขึ้น
“ในความเป็นจริง เราไม่ได้จัดการศึกษาเพื่อสิ่งนี้ (การมองว่านักเรียนคือลูกค้า ระบบสอบคือสินค้า) ยิ่งระดับอุดมศึกษามันไม่ใช่การปล่อยให้ดิ้นรนตัวใครตัวมัน มันเป็นเรื่องที่ต้องลดช่องว่าง เพื่อให้คนที่มีศักยภาพไปต่อได้”
ระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเป็นปัญหาใหญ่ที่สังคมไม่ควรละเลยและต้องมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ในขณะที่ ทปอ. สามารถกระทำการใดๆ ได้อย่างอิสระและมีรายได้จากนักเรียนที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ทปอ. จึงต้องรับผิดชอบ ทั้งนี้ เสียงสะท้อนของนักเรียนส่วนหนึ่งจากวงสนทนาเผยว่า เมื่อนักเรียนพยายามสอบถามทางเพจเฟซบุ๊กก็มักจะได้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลขาดความเห็นอกเห็นใจ
ความเหลื่อมล้ำทางความสามารถ ระบบที่ไม่เอื้อกับการค้นหาตัวเอง
“ระบบมัธยมตอนนี้มันทำให้ทุกคนเป็นก้อนเดียวกัน อัดให้ทุกคนเป็นปลากระป๋องเหมือนกัน แต่พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เฟครังสรรค์ว่า ทุกคนต้องมีความแตกต่างหลากหลายนะ”
ครูมัธยมผู้ร่วมสนทนาชี้ถึงอีกหนึ่งต้นตอของปัญหาการศึกษาไทย ทำให้รอบแรกของระบบ TCAS ฉายภาพความเหลื่อมล้ำทางความสามารถอย่างชัดเจน เมื่อมีเกณฑ์การเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องใช้ความถนัดของแต่ละคณะ แต่หลักสูตรมัธยมปลายกลับไม่ได้ให้นักเรียนหาตัวตนตั้งแต่แรกเริ่ม การหาตัวตนจึงต้องอาศัยการจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งประสบการณ์นอกห้องเรียน
การจ่ายเงินเพื่อเลือกอันดับราวกับการซื้อหวยหลายใบ ทำให้เห็นว่าการเลือกเพื่อให้มีโอกาสมากต้องมีเงินมาก แล้วใช้วิธีการหว่านแหโดยที่บางคนยังไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากตัวนักเรียนอย่างเดียว แต่เกิดจากสภาพแวดล้อมในโรงเรียนและฐานะทางบ้าน นักเรียนในครอบครัวที่มีความพร้อมย่อมมีโอกาสได้รู้จักตัวเองมากกว่าคนที่ไม่มีโอกาสทำกิจกรรมหลากหลาย
ครูผู้สนทนาอีกท่านหนึ่งเพิ่มเติมว่า การศึกษาจนจบปริญญาตรีเป็นการรองรับความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในระบบการศึกษาขั้นพื้นฐาน กลับเป็นระบบที่ทำให้นักเรียนค้นหาตัวเองไม่เจอ แม้จะมีโรงเรียนเอกชนบางแห่งที่มีหลักสูตรให้มองเห็นอาชีพมากขึ้น แต่การบริหารหลักสูตรกลับไม่มีบุคลากรมากพอที่จะจัดให้มีการศึกษาแบบดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาหาประโยชน์ นอกจากนี้ ด้วยช่องว่างของวุฒิการศึกษา ม.6 และปริญญาตรีที่ต่างกัน หากขยายแนวทางให้นักเรียนมีโอกาสฝึกอาชีพมากขึ้น ให้คนจบการศึกษาขั้นพื้นฐานมีโอกาสเข้าทำงานและฝึกตัวเองได้มากขึ้น ก็จะทำให้นักเรียนสามารถเลือกทางเดินของตัวเองได้มากขึ้น
“ผมมองว่าโครงสร้างยังไม่ได้ตอบตรงนี้ ทำให้ ทปอ. มีแต้มต่อที่เขาจะวางระบบอย่างไรก็ได้ เพราะสุดท้ายถนนทุกสายก็ต้องวิ่งมาสู่ ทปอ. ถ้าคุณอยากเข้ามหาวิทยาลัย” ครูคนดังกล่าวปิดท้าย
![](https://fkwp.mappamedia.co/wp-content/uploads/2021/08/pexels-cottonbro-3661193.jpg)
มองโครงสร้างใหญ่ รายได้ไม่ควรเป็นอุปสรรคในการศึกษา
จากปัญหาทั้งหมดของระบบ TCAS ที่นักเรียนต้องเผชิญ เมื่อมองให้ลึกไปกว่ายอดภูเขาน้ำแข็ง ระบบการศึกษาต้องไม่ใช่เรื่องการเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมัน แต่ต้องพยายามลดช่องว่างและเปิดโอกาสให้คนที่มีศักยภาพ มิใช่การใช้ค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีโอกาส ครูโจ๊ก-ณัฏฐเมธร์ ดุลคณิต ชวนตั้งคำถามถึงภาพใหญ่ว่า
“รัฐไทยกำลังมองว่าตัวเองคืออะไร หน้าที่ตัวเองคืออะไร ถ้าลองเทียบเคียงกับระบบสาธารณสุขที่กำลังมีปัญหา อะไรกันที่ทำให้เราไปคาดหวังกำไรขาดทุนกับระบบการศึกษา อะไรกันที่ทำให้เราคาดหวังกำไรขาดทุนกับโรงพยาบาล ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้รัฐควรจัดให้”
และยังชวนตั้งคำถามต่อไปอีกว่า เหตุใดจึงต้องให้ประชาชนจ่ายมากขึ้นเพื่อให้ได้การบริการที่ดีขึ้น ทำไมจึงผลักภาระให้ประชาชนยกระดับคุณภาพของตนเองด้วยตัวเองแทบจะทั้งหมด การมองว่าผู้ที่จ่ายไม่ได้เป็นผู้แพ้ ไม่ใช่แค่อนาคตของคนคนหนึ่ง แต่เป็นอนาคตของประเทศทั้งหมด
“ไม่ใช่แค่ระบบ TCAS แต่มันคือการตั้งคำถามกับการบริหารจัดการของรัฐ หรือว่ามุมมองของผู้คนที่มีต่อรัฐไทยในปัจจุบันนั้น มีหน้าที่หรือ provide อะไรให้กับเราบ้าง”
ขณะที่ ครูทิว-ธนวรรธน์ สุวรรณปาล กล่าวถึงระบบการศึกษาว่าควรทำให้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจเป็นอุปสรรคให้น้อยที่สุด ซึ่งปัญหาอาจอยู่ที่การจัดสรรงบประมาณที่ทำให้สิ่งที่ควรฟรี กลับไม่ฟรี ในขณะที่ประเทศก็ไม่มีพื้นที่ให้นักเรียนผิดพลาด ซึ่งหากระบบดี นักเรียนก็ไม่ต้องแข่งกันเรียน ไม่ต้องกู้ กยศ. รีบเรียนให้จบ รีบหางานทำ เพื่อไปดูแลพ่อแม่ที่จะได้รับเบี้ยเลี้ยงคนชรา 600-700 ต่อเดือน
“หลายคนบอกว่ามันเป็นการเติมเต็มความฝันในการเข้ามหาวิทยาลัย แต่จริงๆ แล้วความฝันของเราคืออะไร สิ่งที่ผมค้นพบมาตลอดจากการทำงานกับนักเรียนที่ฐานะไม่ได้ดีมาก เขาไม่ได้ฝันเลยว่าเขาอยากจะเป็นอะไร แต่ฝันของเขาคือมีบ้าน ดูแลพ่อแม่ได้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีหน้ามีตาในสังคม”
การแย่งกันเข้ามหาวิทยาลัยจึงเป็นการทำตามความคาดหวังของสังคม ทั้งที่แต่ละคนมีความถนัดต่างกันไป หากมีโครงสร้างรายได้ที่เสมอภาค มีรายได้ขั้นต่ำที่จะทำให้มีชีวิตที่ดีได้ ทุกอาชีพมีศักดิ์ศรีและมองคนเท่าเทียมกัน เมื่อมีรัฐสวัสดิการที่ดีก็อาจไม่ต้องมีการสนทนาเพื่อถกเถียงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนี้
“แท้จริงแล้ว เด็กไทยไม่รู้จักตัวเองจริงๆ รึเปล่า หรือว่าไม่มีฝัน เพราะไม่กล้าฝัน แต่หากว่ารัฐดูแลดี มีสวัสดิการที่ดี มีโครงสร้างที่ให้คุณค่าของทุกคนเท่าเทียมกัน มันอาจจะไม่ต้องแบกรับความฝันคนอื่น และสามารถทำอย่างที่ใจตนเองต้องการ และค้นพบหนทางที่ตัวเองต้องการจริงๆ ก็ได้”
ผู้สนทนาอีกคนจากมหาวิทยาลัยรามคำแหงและผ่านประสบการณ์ TCAS มาแล้วครั้งหนึ่ง เสนอว่า มหาวิทยาลัยควรขยายเป็นตลาดวิชาเพื่อเป็นทางออกให้กับนักเรียนหรือไม่ และพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยในระบบเปิดให้มีคุณภาพเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยในระบบปิด มหาวิทยาลัยควรเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปมากขึ้น รวมถึงเปิดโอกาสให้เด็กที่จบการศึกษาขั้นพื้นฐานมีโอกาสทำงานค้นหาตัวเองมากขึ้น เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสกลับเข้าสู่ระดับอุดมศึกษาได้ทุกเวลาที่ต้องการพัฒนาตัวเอง
โลกทุกวันนี้หมดยุคของการเรียนเพื่อปริญญาใบเดียว การเลือกเด็กที่เก่งที่สุดเท่านั้นมาเรียนจึงเป็นค่านิยมที่ควรถูกตั้งคำถามมากที่สุด