ชวนอ่าน The Dark เมื่อ ‘ความไม่รู้’ ที่เราต่างหวาดกลัว คือเพื่อนคนสำคัญของการเติบโต

‘ความมืด’ ใช่ไหม ที่บอกเราว่าต้องใช้ไฟอีกกี่ดวง ชวนอ่าน The Dark เมื่อ ‘ความไม่รู้’ ที่เราต่างหวาดกลัว คือเพื่อนคนสำคัญของการเติบโต 

บางครั้งความมืดก็ซ่อนตัวอยู่ในตู้  บางคราวมันก็นั่งอยู่หลังม่านอาบน้ำ

ถ้าเพียงเรามองไปรอบๆ ในมุมเล็กลับสักมุมหนึ่งใกล้ๆ ก็อาจเห็นว่ามีความมืดอาศัยอยู่มุมใดมุมหนึ่งอย่างแนบนิ่ง มันอาจซ่อนอยู่ข้างๆ มุมโต๊ะทำงาน หลบอยู่ในลิ้นชักที่ยังไม่ถูกเปิด แอบอยู่ในหลืบลึกของกระเป๋าใบใหญ่  ไปจนถึงนั่งๆ นอนๆ หลบๆ ซ่อนๆ อยู่ตามพื้นที่ปิดทั้งหลาย เราจึงต่างได้ใกล้ชิดกับ ‘ความมืด’ กันเป็นกิจวัตร ทั้งที่รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง 

เมื่อช่วงยามแห่งค่ำคืนมาถึง เจ้าความมืดที่หลีกหลบอยู่ตามมุมต่างๆ เหล่านั้นก็มักจะได้ทีกระจายตัวออกมาจากตู้ กระโจนจากกล่องทึบ ขยายร่างจากมุมเล็กลับกลายเป็นความมืดขนาดมหึมา แล้วไหลไปรวมตัวกันบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ แทรกซึมเข้าไประบายสีดำในอณูอากาศรายรอบตัวฉัน คุณ เธอ เขา และเรา จนกลืนกินสิ่งที่เคยมองเห็นก่อนหน้า ให้หายวับไปจากตา 

หลายต่อหลายครั้งในบรรยากาศแบบนั้น ‘ความกลัว’ จากการไม่รู้หรือมองไม่เห็นก็มักจะคืบคลานเข้ามาในหัวใจและนัยตาของเรา…ปรากฏ ‘เด่นชัด’ แทนที่สิ่งอื่นที่วับหาย 

คอลัมน์ ‘นิทานก่อนนอน’ ในเดือนนี้ เดินทางมาพร้อมกับช่วงเวลามืดค่ำ ก่อนที่คุณจะหลับตาลงนอนแล้วพบกับความมืดมิดอย่างเต็มรูปแบบภายใต้เปลือกตาที่ปิดลงในคืนนี้ ก่อนที่คุณจะผ่านความมืดในคืนนี้ไปเพื่อพบกับเรื่องราวอีกมากมายที่จะต้องเผชิญในวันพรุ่งนี้ ฉันอยากจะเล่าความรู้สึกและบางแง่มุมจากการได้อ่านนิทานภาพเล่มหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยความมืดมิด ทว่าเปี่ยมด้วยพลังให้คุณฟัง 

นิทานภาพเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘The Dark’ ผลงานเขียนโดยนักเขียนลือชื่ออย่าง Lemony Snicket และภาพประกอบที่ตราตรึงโดย Jon Klassen 

“I want to show you something” said the dark 

ความหวาดกลัวที่เข้ามายึดครองอาณาเขตหัวใจ 

The dark คือเรื่องราวของ ลาสซโล เด็กน้อยผู้หวาดกลัวความมืดจนไม่อาจนอนหลับได้ในยามกลางคืน ลาสซโลกลัวความมืดมาก แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธการมีอยู่ของมันที่รายล้อมตัวเขา และดำรงอยู่ในมุมต่างๆ ของบ้าน โดยเฉพาะพื้นที่มืดสนิทอย่างห้องใต้ดินที่เขาแทบจะไม่กล้าย่างกรายเข้าไป ลาสซโลอยู่กับความมืดด้วยความหวั่นเกรง พยายามหันหลัง ปิดตา ไม่อยากมองเห็น สัมผัส หรือใกล้ชิด 

ความรู้สึกหวั่นๆ กลัวๆ แบบลาสซโลนี้ ช่างคลับคล้ายกับความรู้สึกของฉันบางมุมเหมือนกัน ในวัยที่หวาดกลัวหลายสิ่งอย่างในการมีชีวิตอยู่ กลัวสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่ซ่อนอยู่ในมุมมืดของชีวิต การทำงาน ความรัก และความสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ หลายครั้งฉันกลัวความไม่รู้ในโลกที่รู้สึกว่าเต็มไปด้วยผู้รู้มากมาย ซึ่งมักเกิดคำถามที่ว่าเราจะตามพวกเขาทันได้อย่างไรกัน หรือเราจะรู้สึกเก่งวันไหนกี่โมง เราจะรู้สึกว่าเราทำได้ตอนไหนกี่โมง ช่วงเวลาเหล่านั้นใช้การรอคอยนานจัง  บางทีก็กลัวที่จะกระโจนเข้าไปในความสัมพันธ์กับใครบางคนที่เราไม่อาจคาดเดาว่าจะจบลงอย่างไร บางครั้งอยู่ๆ ก็รู้สึกกลัวการหลงทาง กลัวที่เราไม่รู้ว่าเรากำลังเดินปัดเป่ไปทางไหนกันแน่ พลันส่งผลให้กลัวที่จะค้นหาหรือลองก่อร่างสิ่งต่างๆ เหล่านั้นขึ้นมา  หลายครั้งฉันเลยหนีและขอหลบหน้าจากความไม่แน่ไม่นอนเหล่านี้ เพื่อกลับไปอยู่ในเซฟโซนที่เรามองเห็นและรับมือได้ทุกอย่างจะดีกว่า นั่นคือเสียงในหัวของฉัน หลายครั้งมันบอกว่าให้ทำตามครรลองที่ความกลัวบอกให้ทำ อย่าไปเป็นมิตรกับความมืดเหล่านั้นเลย

แต่ก็นะ แม้หลายคราวจะเป็นแบบที่ว่านั้น ก็ไม่ใช่ทุกครั้งเสมอไป มนุษย์อย่างพวกเรามีมุมกลับที่ทั้งวิเศษและแปลกประหลาด  บางทีฉันก็อยากเรียกมันว่าความย้อนแย้ง กล่าวคือในขณะที่เรากลัวความมืดหรือไม่กล้ากระโจนเข้าไปในพื้นที่ที่ยากจะทำความเข้าใจ ในอีกมุมพวกเราก็ต่างมี ‘ความอยากรู้และอยากสอดแนม’ สิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้เหล่านั้นอยู่ในที ฉันว่าลาสซโลก็เป็นเช่นกัน แม้ความมืดนั้นมันจะน่าหวาดกลัวมากในหัวและจินตนาการของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจที่จะเข้าไปหาความมืดที่เขาไม่อาจต้านทานได้นั้นอยู่ดี  

“ลาสซโลคิดว่า หากเขาเข้าไปเยือนความมืดในห้องแห่งความมืด บางทีความมืดอาจจะไม่มาและเข้าไปเยี่ยมเขาในห้องของเขา” 

ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ สบตากับความมืด เจรจากับสิ่งที่เรารู้สึกหวาดกลัวดูสักครั้ง

“เข้ามาใกล้ๆ” ความมืดพูด “ใกล้เข้าอีก” ความมืดย้ำ 

นิทานภาพเล่มใหญ่กำลังพาฉันในฐานะคนอ่านและลาสซโล ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ กับความมืด มองดูความมืดในมุมต่างๆ ที่กำลังเชื้อเชิญให้เราเข้าไปอย่างเป็นมิตร ผิดกับจินตนาการในหัวที่คิดไว้ในตอนแรกว่าความมืดคงจะใจร้ายกว่านี้ แต่กลับใจดีกับลาสซโลและฉันมากเกินคาด ทั้งด้วยท่าทีและถ้อยคำ ทำให้เราค่อยๆ เดินลงไปในห้องใต้ดินพร้อมกับหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไม่ตระหนก แม้จะมีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดของหลังคา กลิ่นของความอับชื้น และเสียงร้องของเครื่องซักผ้าดังอยู่ไกลๆ ประกอบอยู่ในฉากแห่งความมืดนั้น ก็ไม่ได้น่ากลัวมากจนทำให้ลาสซโลและฉันตัดใจละทิ้งการทำความรู้จักความมืดในครั้งนี้ เพราะหนังสือไม่ได้บีบคั้นให้เรารีบรู้สึกดีกับความมืด หรือปฏิเสธความกลัวที่เกิดขึ้นในใจ แต่มันทำหน้าที่ผ่านทั้งภาพและคำให้เรากล้าที่จะค่อยๆ เดินเข้าไปในความมืดนั้น พร้อมกับรับรู้ถึงความกลัวของเราได้ ก่อนจะค่อยๆ ทำให้รู้สึกว่าความมืดที่รายรอบเราอยู่นั้นเป็นเรื่องปกติ เป็นความธรรมดา เป็นสิ่งที่อยู่กับเราในทุกเมื่อเชื่อวัน เหมือนตอนที่เรามองดูท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่การเกิดขึ้นของความมืดมิดนั้นทำให้เราเห็นดวงดาวแจ่มชัดขึ้น เป็นธรรมขาติที่สัมพันธ์ต่อกันและอยู่กับชึวิตเราอย่างลึกซึ้ง และมีหน้าที่ของมัน 

“คุณอาจกลัวความมืด แต่ความมืดไม่กลัวคุณ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมความมืดจึงอยู่ใกล้ตัวเสมอ ความมืดแอบมองไปรอบ ๆ มุม แล้วรออยู่หลังประตู และคุณสามารถเห็นความมืดบนท้องฟ้าเกือบทุกคืน จ้องมองลงมาที่คุณขณะที่คุณแหงนหน้าดูดาว“

จะว่าไปความมืดก็เป็นเหมือน ‘ส่วนหนึ่ง’ ของชีวิตเรา เช่นกันกับความไม่รู้และความหวาดกลัวทั้งหลายนี่เอง มัน ‘ทำหน้าที่’ บางอย่างอยู่โดยที่บางครั้งเราไม่รู้ตัว 

เพื่อนคนสำคัญของการเติบโต

เมื่อความมืดและลาสซโลมีความสัมพันธ์อย่างที่เป็นมิตรต่อกัน ความมืดก็ชวนให้ลาสซโลลงไปดูลิ้นชักด้านล่างในห้องแห่งความมืด 

“เปิดลิ้นชักด้านล่างดูสิ”

แล้วลาสซโลกับฉันก็พบกับหลอดไฟสีเหลืองอร่ามก่อนที่ความมืดจะกล่าว

 “ยินดีต้อนรับ” 

ในฐานะคนอ่านนี่เป็นโมเมนต์ที่ทำให้ฉันรู้สึกรักความมืดและพื้นหลังสีดำทึบนั่นอย่างบอกไม่ถูก และคิดเอาเองว่าลาสซโลก็คงรู้สึกไม่ต่างกันนัก 

ความมืดที่ซ่อนตัวในลิ้นชักทำหน้าที่เป็นฉากหลังที่ทรงพลัง เผยให้เขาเห็นแสงของหลอดไฟอย่างเด่นชัด นวล สวยขึ้นมาประจักษ์ในดวงตา  และความมืดเองยังมอบหลอดไฟให้กับลาสซโลไปใช้ในห้องนอน ให้ความมืดสลายจางลง เพื่อให้เขาไม่กลัวจนเกินไปและสามารถนอนหลับได้ 

ฉันรักความมืดอย่างบอกไม่ถูก มันทำหน้าที่ของมันอยู่จริงๆ ด้วย ทำหน้าที่อย่างเรียบสงบ หน้าที่นั้นอย่างหนึ่งคือทำให้เราได้รู้ว่าหลอดไฟมีความหมายว่าอย่างไร และปรากฏแจ่มชัดที่สุดเมื่อใด แต่สิ่งนี้จะไม่ปรากฏให้เห็นได้เลย หากลาสซโลไม่ตัดสินใจเดินทางร่วมกับความกลัวเพื่อมาทำความรู้จักกับความมืดมิดที่น่าฉงนนี้ 

‘ความมืด’ คือความไม่รู้ และความไม่รู้ที่ลาสซโลวหรือเราต่างหวาดกลัวนั้น จริงๆ แล้วก็กำลังทำให้เรารู้อะไรเพิ่มขึ้นและเติบโตต่อไป  

“หากไม่มีความมืด ทุกอย่างก็จะสว่าง และคุณจะไม่มีทางรู้ว่าคุณต้องการหลอดไฟหรือไม่”

ไม่แปลกที่เราจะหวาดกลัวความมืดที่เต็มไปด้วยความไม่รู้ ไม่แปลกที่เราจะหวาดกลัวการเติบโตขึ้นไปในแต่ละช่วงวัยของชีวิต หากแต่ความกลัวจากความไม่รู้เหล่านั้นคือเพื่อนของพวกเรา เช่นกันกับความมืดที่เป็นเพื่อนของลาสซโลและสามารถก้าวเดินเคียงข้างไปพร้อมกันได้  


Writer

Avatar photo

ศิรินญา

หาทำอะไรไปเรื่อยๆ ตามประสาวัยลุ้น

Photographer

Avatar photo

ภควัต เพชรเพ็ง

มนุษย์โลก

Related Posts