“They’re our kids. All we can do is give them a good life and hope they turn out okay.” — Jules
เมื่อภาพยนตร์เรื่อง The Kids Are All Right ของ Lisa Cholodenko เปิดตัวในปี 2010 มันไม่ได้เป็นเพียงหนังดราม่าครอบครัวที่อบอุ่น หากแต่เป็นภาพยนตร์ที่สั่นคลอนกรอบนิยามเดิมๆ ของคำว่า “ครอบครัว” ในสังคมกระแสหลักที่ซึ่งหมายความเพียงการแต่งงานของคนเพศเดียวกันยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงอย่างมากมายในยุคหนึ่ง และในปี 2010 การที่ครอบครัวเลสเบี้ยนได้รับพื้นที่นำเสนอในฐานะ “ครอบครัวธรรมดา” ที่รัก ทะเลาะ และเติบโตไปด้วยกัน คือการท้าทายขนบครอบครัวแบบดั้งเดิมอย่างตรงไปตรงมา
ในโลกของ Jules และ Nic คู่รักเลสเบี้ยนที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานาน พร้อมกับเลี้ยงดูลูกสองคนที่เกิดจากการใช้สเปิร์มบริจาค ครอบครัวดูเหมือนจะ “ไปได้ดี” จนกระทั่ง Paul — ผู้บริจาคอสุจิ — ปรากฏตัวขึ้น และเปลี่ยนสมดุลทุกอย่าง ความสัมพันธ์ในบ้านเริ่มสั่นคลอน เด็กๆ เริ่มตั้งคำถาม และพวกเราเองในฐานะผู้ชมก็เริ่มพิจารณาว่าแท้จริงแล้ว “พ่อแม่” หมายถึงอะไร
🏳️🌈 LGBTQ+ Parenting: ครอบครัวที่ไม่จำเป็นต้องมี “พ่อ-แม่” แบบตรงตามเพศกำเนิด
ในแวดวงวิจัยด้านครอบครัว มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า “โครงสร้างของครอบครัวไม่สำคัญเท่ากระบวนการในครอบครัว” (family process > family structure) ซึ่งสอดคล้องกับข้อค้นพบของนักวิจัยอย่าง Charlotte Patterson ที่ระบุว่า “เด็กที่เติบโตในครอบครัวเลสเบี้ยนหรือเกย์ มีพัฒนาการทางอารมณ์ สังคม และวิชาการเทียบเท่าหรือดีกว่าเด็กในครอบครัวชายหญิง” – Charlotte J. Patterson (2006)
ใน The Kids Are All Right เด็กทั้งสองคน Joni และ Laser ถูกเลี้ยงดูโดยสองแม่ที่มีบุคลิกต่างกัน Nic เป็นหมอที่เข้มงวด Jules เป็นคนเปิดกว้างและกำลังหาทางในชีวิต ทว่าทั้งสองต่าง “เป็นแม่” อย่างเต็มที่ แม้พวกเธอจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็ตาม ซึ่งสะท้อนแนวคิดในงานของ Abbie Goldberg ที่ระบุว่า “ความสามารถในการเลี้ยงดูลูกไม่ขึ้นอยู่กับเพศ แต่ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ ความเอาใจใส่ และความสามารถในการตอบสนองความต้องการของเด็ก” (Goldberg, 2010)
🔄 ความสัมพันธ์ทางพันธุกรรม ≠ ความเป็นพ่อแม่
เมื่อ Paul ชายผู้บริจาคเสปิร์ม ปรากฏตัวในชีวิตของลูกๆ ผู้ชมเริ่มเห็นความสับสนระหว่างความเป็น “พ่อในทางชีวภาพ” กับ “พ่อในทางจิตวิญญาณ” Paul ไม่เคยเลี้ยงดูเด็กเหล่านี้เลย แต่กลับเริ่มเข้ามามีบทบาท คล้ายจะเป็นพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ ทำให้เกิดคำถามสำคัญในเชิงสังคมว่า “หากเราไม่ได้เลี้ยงดูใครเลย เราจะเรียกตัวเองว่าเป็นพ่อหรือแม่ของเขาได้หรือไม่?” ความเป็นพ่อหรือแม่กำหนดจาก DNA หรือจากความรับผิดชอบและความสัมพันธ์ที่สร้างร่วมกัน
ทฤษฎีของ Judith Stacey และ Timothy Biblarz สนับสนุนแนวคิดนี้ โดยเสนอว่า “สายเลือดไม่ใช่แก่นของครอบครัวสมัยใหม่ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เลือกจะสร้างและบำรุงรักษาร่วมกัน”
(Stacey & Biblarz, 2001)
🧠 เด็กที่เติบโตในครอบครัว LGBTQ+: “พวกเขาโอเคดี”
ชื่อเรื่องของหนัง “The Kids Are All Right” เป็นทั้งคำปลอบใจและคำยืนยันถึงประเด็นนี้ งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่าเด็กที่โตมากับพ่อแม่เพศเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การปรับตัว หรือพฤติกรรม เมื่อเทียบกับเด็กที่โตมากับพ่อแม่ต่างเพศ
Goldberg (2010): “การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าเด็กในครอบครัว LGBTQ มีระดับความมั่นคงทางอารมณ์และสัมพันธภาพทางสังคมในระดับที่ดีมาก”
Joni เด็กสาวที่กำลังเข้าสู่วัยมหาวิทยาลัย เติบโตมาอย่างมั่นใจและเอื้อเฟื้อ ส่วน Laser แม้จะกำลังค้นหาตัวเอง ก็แสดงให้เห็นถึงความคิดอิสระและความรับผิดชอบ ครอบครัวของพวกเขาไม่ได้ “แปลก” หรือ “แตกต่าง” อย่างที่สังคมบางส่วนมอง ครอบครัวนี้มีปัญหา มีความขัดแย้ง มีการเยียวยา เหมือนกับครอบครัวทุกครอบครัว
🔄 ความเปราะบางของคู่รัก และการเมืองเรื่องเพศ
นอกจากประเด็นการเป็นพ่อแม่ หนังยังสะท้อนความเปราะบางของความสัมพันธ์คู่รัก โดยเฉพาะในบริบทของ “การเป็นคู่รักที่เป็นแม่” Jules และ Nic แม้จะมีความรักมั่นคงในระยะยาว แต่ต่างฝ่ายต่างสะสมความเหนื่อยล้าในบทบาท ความเข้าใจผิด และช่องว่างทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
การที่ Jules มีความสัมพันธ์ชั่วคราวกับ Paul ถูกวิจารณ์จากบางกลุ่มในชุมชน LGBTQ+ ว่า “ทำให้ภาพของคู่รักเลสเบี้ยนถูกทำลาย” แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่คือการแสดงให้เห็นว่า คนรักเพศเดียวกันก็เป็นมนุษย์ธรรมดา ที่มีช่องโหว่ ความสับสน และการตั้งคำถามต่ออัตลักษณ์ของตนเอง เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
งานวิจัยของ Goldberg (2012) ยังชี้ว่า คู่รักเพศเดียวกันมักเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นในการพิสูจน์ “ความเพียบพร้อม” ซึ่งอาจทำให้เกิดความเครียดในความสัมพันธ์ได้มากกว่าคู่รักต่างเพศ
ครอบครัวคือพื้นที่ของ “การดูแลกันและกัน”
ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอครอบครัว LGBTQ+ ว่าเป็น “ครอบครัวในอุดมคติ” หรือ “เหยื่อของระบบ” แต่เสนอภาพที่ “เป็นมนุษย์” ความวุ่นวายที่อบอุ่น ความรักที่ซับซ้อน และการดูแลกันอย่างจริงใจ
ในโลกที่ยังมีการตั้งคำถามว่าเด็กจะเติบโตได้ไหมหากไม่มี “พ่อ-แม่” แบบดั้งเดิม The Kids Are All Right ตอบคำถามนั้นว่า “การเลี้ยงดูที่มั่นคง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศของผู้เลี้ยงดู แต่ขึ้นอยู่กับความรัก ความรับผิดชอบ และความพร้อมที่จะโตไปพร้อมกับเด็ก” และเป็นหนังที่เตือนเราทุกคนว่า “การเลี้ยงเด็กคนหนึ่ง” ต้องการมากกว่าแค่พ่อแม่ในทางชีวภาพ แต่มันต้องการ “ผู้ใหญ่ที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับเด็ก” ต่างหาก
📚 อ้างอิง
- Goldberg, A. E. (2010). Lesbian and gay parents and their children: Research on the family life cycle. American Psychological Association.
- Patterson, C. J. (2006). Children of lesbian and gay parents. Current Directions in Psychological Science, 15(5), 241–244.
- Stacey, J., & Biblarz, T. J. (2001). (How) Does the sexual orientation of parents matter? American Sociological Review, 66(2), 159–183.
- Goldberg, A. E. (2012). Gay dads: Transitions to adoptive fatherhood. NYU Press.
ขอบคุณภาพจาก : https://fourteeneastmag.com/index.php/2016/09/23/the-netflix-club-the-kids-are-all-right/