เมื่อกอดสุดท้ายกลายเป็นความทรงจำ : จดหมายจากลูกชาวเมียนมาที่ส่งความคิดถึงถึงแม่ ในวันที่ต้องห่างไกล

ผู้อ่านสามารถเปิดฟังเพลงนี้ไปด้วยระหว่างอ่านจดหมายของพวกเขาได้

นับตั้งแต่รัฐบาลทหารเมียนมาได้บังคับใช้กฎหมายเกณฑ์ทหาร “People’s Military Service Law” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อเติมเต็มความต้องการกำลังพลที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของกองทัพเมียนมา ในการเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และกองกำลังต่อต้านต่างๆ ทั่วประเทศ ชีวิตหนุ่มสาวในเมียนมา ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย

หนุ่มสาวที่ประกอบด้วยชาย อายุ 18-35 ปีและหญิงอายุ 18-27 ปี คือกลุ่มคนที่อยู่ในช่วงชีวิตที่ควรได้ฝัน ควรได้รัก และควรได้เลือกอนาคตของตนเอง แต่ในดินแดนที่ไฟสงครามลุกท่วมและรัฐคือผู้บังคับบัญชา พวกเขาไม่มีสิทธิเลือกกระทั่งจะมีชีวิตในแบบที่ไม่ต้องลั่นไก

หลายคนที่ไม่ต้องการจับอาวุธเข้าร่วมการต่อสู้ จึงเลือกหนีเอาชีวิตรอดมายังประเทศไทย 

พวกเขาเหล่านี้ต้องจากบ้านเกิด ห่างจากอ้อมกอดของ “แม่” 

วันแม่ในปีนี้ Mappa ได้ขอให้หนุ่มสาวชาวเมียนมาเขียนจดหมายถึงแม่ในวันที่พวกเขากลับไปหาแม่ไม่ได้ 

และนี่คือจดหมายทั้ง 6 ฉบับ

ที่เขียนจากปลายปากกาของลูก 

 บอกเล่าความคิดถึง ความรัก ของลูกที่มีต่อแม่

แม่ของพวกเขา 

และแม่ทุกคนบนโลกใบนี้

พวกเราเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า

ความรักระหว่างแม่และลูกนั้นไม่มีพรมแดน

และไม่ว่าเชื้อชาติ ศาสนา หรืออยู่บนแผ่นดินไหนก็สามารถเชื่อมโยงถึงกันได้

และไม่ควรมีใครในโลกควรต้องถูกพรากจากมันด้วยเสียงของสงครามหรือความขัดแย้ง

เราขอให้คุณอ่านจดหมายเหล่านี้ช้าๆ 

และปล่อยให้ถ้อยคำและความคิดถึงของพวกเขา

หล่นลงในใจของคุณ

จดหมายฉบับที่ 1

ถึงแม่…

หนูเขียนจดหมายฉบับนี้ให้แม่ในวันแม่นะคะ 

แต่หนูไม่รู้เลยว่าจะต้องไปหาที่อยู่ของแม่ตรงมุมไหนของโลกใบนี้ เพื่อจะส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้แม่ดี

ตั้งแต่วันที่แม่ไม่อยู่ ครอบครัวเล็กๆ ของเราที่คอยดูแลกันมาตลอดจนถึงวันนี้ ก็ผ่านมา 26 ปีแล้ว 

ช่วงเวลา 26 ปีที่ต้องผ่านทั้งสุขและทุกข์ 

ถ้าได้เล่าให้แม่ฟังแม่คงไม่สนใจความทุกข์ของตัวเอง 

แต่คงจะใส่ใจแค่ความสุขของหนู คอยทำทุกอย่างเพื่อให้หนูสบายใจ 

แม่ไม่เคยหวังอะไรตอบแทนเลย 

ทุกครั้งที่หนูย้อนนึกถึงแม่ หนูจะนึกถึงความเสียสละของแม่ที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนและแทบไม่มีใครมองเห็น 

หนูรู้สึกทั้งภูมิใจและซาบซึ้ง แต่ต้องยอมรับว่า หลายครั้งหนูกลับลืมที่จะเอ่ยคำขอบคุณ ในสังคมก็เหมือนกัน เรามักจะมองข้ามแรงงานของแม่ที่ไม่มีค่าตอบแทน ไม่มีวันหยุด แต่มอบให้ลูกๆ อย่างไม่มีเงื่อนไข 

การใช้ชีวิตของหนูในที่ที่ปลอดภัย โดยไม่มีแม่อยู่ข้างๆ อาจดูเหมือนดี แต่มันไม่เคยทำให้หนูรู้สึกมีความสุขได้ในทุกวัน 

แม่คอยอธิษฐานให้หนูปลอดภัย 

แม่คอยขอให้การงานของหนูราบรื่น 

และแม่อาจไม่ได้อยู่มาทำอาหารให้หนูกินเหมือนเมื่อก่อนแล้ว 

แต่แม่สอนให้หนูรู้จักทำอาหารให้อร่อยเหมือนที่แม่เคยทำให้กิน 

ความปลอดภัยที่แม่มอบให้หนู มันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งที่แม่มีให้ได้จริงๆ ด้วยซ้ำ แต่หนูกลับไม่เคยรู้เลยว่าตัวแม่เองต้องการอะไร

แม่ไม่เคยต้องการอะไรเลย นอกจากแค่ให้ลูกมีชีวิตที่ดี ปลอดภัยและมีความสุข 

แต่ตอนนี้แม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่มีต้นไม้ล้อมรอบ 

ในประเทศที่ไม่ควรจะเป็นที่อยู่ของแม่อีกต่อไป 

หนูแค่อยากให้คำอธิษฐานของแม่เป็นจริงทุกอย่าง 

อยากให้แม่สุขภาพแข็งแรงอยู่กับหนูไปนานๆ 

และจากที่แสนไกลหนูยังคงภาวนาอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเราจะได้กลับมาอยู่ข้างกันอีกครั้งนะคะ

จากลูกของแม่ที่ยังคิดถึงเสมอ…


จดหมายฉบับที่ 2

แม่

อันที่จริงจดหมายฉบับนี้อาจไม่ใช่จดหมายที่เขียนเพื่อส่งไปหาแม่ 

แต่เป็นจดหมายที่เขียนขึ้นเพื่อแม่มากกว่าค่ะ 

หนูเคยส่งข้อความหาแม่ว่า 

“แม่วันนี้หนูกลับบ้านช้าหน่อยนะอย่าเพิ่งหลับ รอรับโทรศัพท์หนูก่อนนะ“ 

แม่เคยพูดว่าลูกต้องย้ายไปอยู่ไกลจากแม่ตั้งแต่อายุ 17  “เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันแม่ลูกยังไม่เพียงพอ เรายังไม่ได้โอกาสอยู่ด้วยกันนานๆ สักทีเลยนะ” แม่เคยบอกอย่างนั้น 

อายุ 17 สำหรับคนอื่น อาจจะดูโตพอแล้วก็จริง แต่ในสายตาแม่หนูยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ที่ต้องฝืนเข้มแข็งใช้ชีวิตเหมือนผู้ใหญ่ ทั้งที่จริงๆ แล้วยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง

ตอนหนูอายุ 20 ต้องไปฝึกงานและเริ่มใช้ชีวิตคนเดียวอย่างจริงจัง แม่จะโทรหาหนูทุกคืน จนกว่าจะวางสายถึงจะยอมนอนหลับ สำหรับแม่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี หนูยังเป็นเด็กอายุ 20 ปีที่แม่ห่วงใยอยู่เสมอ

เพื่อนๆ เคยถามหนูว่า “ทำไมเธอต้องเล่าอะไรให้แม่ฟังทุกเรื่องเลย” หนูแค่ยิ้มแล้วตอบไปว่า “ก็ใช่น่ะสิ เราอยากให้แม่รู้ทุกเรื่องของเรา”

พ่อจากไปได้ 11 ปีแล้ว หนูอดคิดไม่ได้ว่า ‘แม่จะเหงาไหม แต่แม่คงเหงาแหละ!’ โดยเฉพาะตอนเกิดแผ่นดินไหว แม่อยู่บ้านคนอื่นและต้องเดินเท้าเปล่ากลับมา เหมือนแม่ต้องแบกโลกไว้คนเดียว หนูรู้เลยว่าช่วงเวลานั้นแม่คงเหงามากจริงๆ  หนูไม่อยากปิดบังอะไรจากแม่เลย เพราะแม่คือคนที่หนูสามารถเล่าได้ทุกอย่าง แม่คือความปลอดภัยในชีวิตของหนู

ตอนที่หนูเรียนภาษาเกาหลีกับพี่สาว หนูไม่ได้อยากเรียนเพราะมีเป้าหมายอะไรหรอก แค่บางทีอยากหยอกแม่เฉยๆ เลยเผลอพูดออกไปว่า ‘จะไปเรียนเพราะอยากไปนินทาแม่’ แต่หนูไม่ได้คิดจะพูดถึงแม่ในแง่ไม่ดีเลยนะ

เวลาคิดถึงพ่อหนูจะเปิดเพลงของ “Khine Maung Toe”  แต่ถ้าคิดถึงแม่เพลงของ “Htoo Eain Thin” จะดังขึ้นในหูทันทีเหมือนในเนื้อเพลงที่ร้องว่า “แค่ได้กลับไปบ้านแม่สักครั้ง ตอนที่อกหักคงจะดีกว่าการต้องอยู่ห่างจากแม่แบบนี้”

แม้ว่าเราจะได้คุยโทรศัพท์กัน แต่หนูยังคิดถึงเวลาที่ได้อยู่กับแม่ได้ใช้ชีวิตข้างๆ กัน แม่ต้องทำงานไม่หยุดเพื่อครอบครัว จนไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยกันเท่าไหร่ แต่หนูกลับโหยหาช่วงเวลาที่เราได้กินข้าวพร้อมกัน ดูหนังด้วยกันกับแม่ พี่สาว และคุณยาย

ตอนแม่แวะมาหาเมื่อปีที่แล้ว หนูเห็นริ้วรอยบนหน้าของแม่แล้ว รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไป ทุกครั้งที่หนูสังเกตว่ายิ่งหนูโตขึ้นแม่ก็ยิ่งแก่ขึ้น หนูรู้สึกกลัวว่าสักวันหนึ่งแม่อาจจะต้องจากโลกนี้ไป หรือไม่ก็หนูเองที่จะจากไปก่อน แล้วเราอาจไม่ได้อยู่เคียงข้างกันอีก…หนูกลัวเหลือเกิน

แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หนูอยากให้แม่รู้ว่า เหตุผลที่หนูพยายามทำทุกอย่างในตอนนี้ก็เพราะแม่

หนูมีความสุขที่สุด เวลาที่ได้ยินใครพูดกับแม่ว่า “แม่เลี้ยงลูกได้ดีมากเลยนะ” เพราะหนูอยากให้แม่ภูมิใจว่าแม่ทำได้จริงๆ


จดหมายฉบับที่ 3

คิดถึงบ้านเกิดเหลือเกิน

ผ่านมาเกือบปีแล้วนะครับแม่ ที่ผมต้องจากบ้านเกิดมาอยู่ต่างเมืองทุกวันในหัวใจของผมยังคงเต็มไปด้วยความคิดถึงพ่อ แม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ที่เคยอยู่กันด้วยกันอย่างสงบสุขในหมู่บ้านเล็กๆ ของเรา

สิ่งที่ผมคิดถึงที่สุดคือการได้นั่งกินข้าวพร้อมหน้ากับครอบครัวที่มีพ่อ แม่ และพี่น้องอยู่กันครบ ผมอยากให้ทุกคนสุขภาพแข็งแรงดี ถึงผมจะอยู่ไกลแต่หวังว่าสักวันหนึ่ง เราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้งแน่นอนครับแม่

ผมมีหน้าที่ต้องดูแลตัวเองให้ดี เพื่อไม่ให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วงหรือทุกข์ใจ เพราะพ่อกับแม่คือคนที่เลี้ยงดูและส่งเสียผมมาจนเติบโต ความรักทั้งหมดที่มีผมได้รับมาจากแม่ และกำลังใจทั้งหมดก็มาจากพ่อ 

ผมคิดถึงพ่อและแม่มากจริง ๆ ครับ 

เส้นทางนี้เป็นทางที่ผมเลือกเดินเอง ผมจึงต้องก้าวต่อไปให้ไหว แม้ว่าครั้งนี้เส้นทางจะขรุขระและยากลำบากกว่าครั้งไหนๆ ก็ตาม

ทั้งต้องห่างบ้าน ห่างคนที่รัก

แต่ผมจะเรียนรู้ทั้งสิ่งดีและสิ่งร้ายให้เป็นบทเรียน และสัญญากับตัวเองว่า ถ้าได้กลับบ้านอีกครั้ง ผมจะกลับมาเป็นคนที่เข้มแข็งและดีขึ้นกว่าเดิมแน่นอนครับแม่

บางครั้งผมคิดว่าตัวเองคงเกิดมาเพื่ออยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ เพราะสิ่งที่ผมโหยหามากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่แสงสีหรือความสวยงามของเมืองหลวงเลย แต่เป็นความสงบเรียบง่ายของหมู่บ้านของเราต่างหาก ถ้าได้กลับบ้านอีกครั้ง ผมจะไม่มีวันบ่นอีกแล้วว่า ‘อยู่บ้านน่าเบื่อ’ เพราะเมื่อไม่ได้กลับ มันช่างคิดถึงเหลือเกิน

ช่วงหน้าฝนได้ลงนาปลูกข้าว พอน้ำท่วมก็พายเรือกับเพื่อนไปตามทุ่งนาหาปลา ความทรงจำแบบนี้ ผมคิดถึงมากเลยครับแม่ 

ช่วงออกพรรษาก็จะเห็นคนในหมู่บ้านพากันไปวัด ถือดอกบัวไปทำบุญ ช่วงเวลาที่ผมเคยนั่งมองพระอาทิตย์ตกดินอย่างเงียบสงบกับเพื่อนๆ บนสะพานเล็กๆ ริมหมู่บ้านนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำแล้วครับแม่ 

พอมาอยู่ในจุดที่ไม่สามารถย้อนกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมได้อีก 

มันก็ยิ่งทำให้ผมคิดถึงและรู้สึกหดหู่เข้าไปทุกที

ผมจำได้ว่าตอนเป็นเณรผมเคยนอนวัด ออกบิณฑบาตแล้วแม่ก็เป็นคนใส่บาตรให้จากที่บ้าน ตอนเช้าๆ ก็ไปเล่นน้ำในแม่น้ำ เย็นๆ ก็ช่วยกันขุดมันสำปะหลัง บางวันก็เข้าป่าไปเก็บผลไม้ด้วยกัน ถ้ากลับบ้านช้าหน่อยแม่ก็มักจะถือไม้ยืนรออยู่หน้าบ้านแน่…

ทุกภาพยังชัดเจนในความทรงจำของผมเสมอ

ตอนที่หมู่บ้านมีงานบุญหรือมีการแสดง ผมยังจำได้ดีว่าผมกับเพื่อนๆ เคยเต้นอยู่หน้าเวทีอย่างสนุกสนาน พอถึงช่วงวันออกพรรษาพวกเราก็ช่วยกันปล่อยโคม จุดประทีปไปตามถนน เป็นช่วงเวลาที่กลายเป็นความทรงจำอันล้ำค่าของผมไปแล้ว

ตอนเด็กๆ ผมยังจำได้ว่า เคยทำน้ำตาลกับแม่ที่เกาะกลางน้ำ ผมคอยเดินตามแม่อยู่ข้างหลัง ช่วยล้างกระปุกใส่น้ำตาลเสมอ พอกลับจากโรงเรียนผมก็คอยช่วยแม่หุงข้าวทำกับข้าวตลอด 

สำหรับผมแล้วคำที่ไพเราะและมีความหมายที่สุดในโลกคือคำว่า ‘แม่’ นะแม่จ๋า

เวลาไม่สบายก็ยิ่งคิดถึงแม่ 

น้ำร้อนถ้วยหนึ่งกับยาที่แม่ให้กินทำให้ผมหายเร็วขึ้น 

ผมคิดถึงแม่มากจริงๆ 

ชิต มิน อ่าวน์


จดหมายฉบับที่ 4

ถึงคุณแม่ที่รัก,

แม่สบายดีไหมครับ? ผมเชื่อว่าแม่ต้องสบายดีและมีสุขภาพแข็งแรง

ผมคิดถึงแม่เหลือเกิน คิดถึงฝีมือทำกับข้าวของแม่ คิดถึงเมื่อตอนยังเด็กก่อนจะไปโรงเรียน แม่เตรียมอาหารเช้าให้ผมอย่างดี พอตอนเที่ยงผมรีบกลับบ้านเพราะรู้ว่าแม่ทำกับข้าวอร่อยๆ ไว้รอผมแล้ว และตอนเย็นหลังเลิกเรียนวิ่งเล่นจนเหนื่อยกลับมา ก็มีขนมฝีมือแม่ให้กินคลายเหนื่อย พออาบน้ำเสร็จก็ได้มานั่งกินข้าวเย็นพร้อมหน้ากัน เป็นกับข้าวที่แม่ตั้งใจทำให้ด้วยความรัก 

ทุกอย่างนั้นยังอยู่ในใจผมเสมอ 

และทุกครั้งที่คิดถึง 

ผมรู้สึกอุ่นใจ

แต่อดน้ำตาคลอไม่ได้เลยครับแม่

แม่ครับ… ผมคิดถึงช่วงเวลาที่ครอบครัวเราอยู่กันพร้อมหน้า มันเป็นช่วงเวลาที่อบอุ่นและมีความสุขจริงๆ แต่ตอนนี้ผมต้องมาอยู่ไกลบ้าน อยู่ต่างบ้านต่างเมืองแบบที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเลย

จริงๆ อยากติดต่อแม่ แต่เพราะสถานการณ์ของประเทศเราทำให้การติดต่อกันมันยากเหลือเกิน ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ ผมอยากรีบกลับไปหาแม่

แม่ครับ… ยิ่งมาอยู่ไกล ยิ่งทำให้ผมรู้ว่า “บ้านเกิด” มีความหมายแค่ไหน 

คิดถึงบ้านแม่ 

คิดถึงกลิ่นอาหาร

คิดถึงเสียงพูดของแม่ 

คิดถึงทุกอย่าง 

ตอนนั้นผมชอบออกไปเล่นไม่ยอมกลับบ้าน แต่ตอนนี้ถ้าได้กลับไปที่บ้านอีกครั้ง ผมอยากอยู่บ้านให้นานๆ อยากใช้เวลากับแม่ให้มากๆ อยากบอกแม่ว่า ผมคิดถึงแม่ คิดถึงบ้านเรามากแค่ไหน ถึงแม้ทุกอย่างจะไม่สมบูรณ์ แต่บ้านของแม่ยังเป็นที่ที่อบอุ่นที่สุดสำหรับผมเสมอ

ขอให้แม่แข็งแรงไว้นะครับ ผมหวังว่าสักวันหนึ่งครอบครัวเราจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง จะได้ออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันในบ้านเกิดของเราอย่างมีความสุข จะได้นั่งคุยกันนานๆ เหมือนเมื่อก่อน เพราะชีวิตคนเรามันก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ใช่ไหมครับแม่ การที่เราได้มาอยู่ด้วยกันในช่วงเวลานั้น มันคงจะเป็นความสุขที่ดีสุดแล้ว ผมคิดถึงความสุขแบบนั้น และผมอยากให้ถึงวันนั้นอีกครั้งไวไวจังเลยครับแม่ 

แม่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะครับ ถึงผมจะอยู่ไกลแต่ผมยังสบายดี งานก็ราบรื่น มีเพื่อนที่ดีและเป็นเพื่อนที่แม่คงอยากให้ผมได้รู้จักด้วย

แม่ครับ… ผมจะกลับไปหาแม่ แม่ดูแลตัวเองดีๆ รักษาสุขภาพไว้ให้แข็งแรงเหมือนเดิมนะครับ. 

จากลูกชายคนเล็กของแม่ 

ที่อยู่เมืองไทยชั่วคราว


จดหมายฉบับที่ 5

แม่ที่รักของผม

ไม่ว่าจะเป็นคำร้องในเพลง หรือคำพูดของใครหลายๆ คน ก็ล้วนพูดเหมือนกันว่า “ความรักของแม่ คือความรักที่ลึกซึ้งและมีค่าที่สุดในโลก” ซึ่งผมเองรู้ดีว่ามันคือเรื่องจริงที่สุดโดยเฉพาะในวันนี้ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงแม่ ด้วยเหตุที่ผมต้องอยู่ห่างไกลจากแม่

ตอนนี้ผมอยู่ที่ประเทศไทยและห่างจากแม่มานานพอสมควร พอถึงวันแม่ทีไร ผมอดคิดถึงแม่ไม่ได้เลย คิดถึงช่วงเวลาที่เราเคยอยู่ด้วยกัน คิดถึงทุกความทรงจำดีๆ ที่เรามีร่วมกัน

ตอนนี้ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ผมพยายามอย่างเต็มที่ทั้งเพื่อความอยู่รอด และเพื่ออนาคตของตัวเอง เพราะผมอยากให้แม่ภูมิใจในตัวผมเสมอ เสียงที่อบอุ่นของแม่ กลิ่นอาหารฝีมือแม่ รวมถึงช่วงเวลาหลังมื้อเย็นที่เราได้นั่งคุยกัน ผมยังคงคิดถึงและทุกอย่างนั้นอยู่ในใจเสมอ

ผมรักและเคารพแม่อย่างสุดหัวใจ  ถึงแม้แม่จะต้องดูแลผมคนเดียวมาตลอด แต่ด้วยความรักและการดูแลของแม่ ทำให้ผมมีวันนี้มีชีวิตที่มั่นคงและอบอุ่น แม่เลี้ยงดูและใส่ใจผมอย่างดีที่สุด 

ผมไม่มีวันลืมพระคุณของแม่

บางครั้งแม้ว่าผมจะพยายามเต็มที่เพื่อให้แม่ภูมิใจ แต่ผลลัพธ์อาจไม่เป็นอย่างที่หวัง แต่เพราะกำลังใจจากแม่ที่ไม่เคยลดน้อยลง ทำให้ผมมีแรงสู้ต่อในทุกๆ วัน

ผมขออธิษฐานให้แม่สุขภาพแข็งแรง มีความสุขในทุกๆ วัน ขอให้แม่มีแต่ความสงบใจและความสบาย และขอให้วันนั้น วันที่เราจะได้กลับมากอดกันอีกครั้งมาถึงเร็วที่สุด นั่นคือคำอธิษฐานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม

ด้วยความรักและเคารพจากใจ

ลูกชายที่รักของแม่

จดหมายฉบับที่ 6

คุณแม่สุดที่รักของผม

ผ่านไปแล้ว 992 วัน ตั้งแต่วันที่ผมได้เห็นหน้าของแม่ครั้งสุดท้าย ตั้งแต่วันที่อ้อมกอดอบอุ่นของแม่ยังโอบผมไว้อย่างปลอดภัยที่สุดในโลก ผมยังจำได้ดีว่าเป็นช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 — ครั้งสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกัน ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องห่างกันนานขนาดนี้ การต้องอยู่ไกลจากแม่ ไกลจากบ้าน เป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตผม

ตอนที่ผมได้ยินว่าแม่ป่วยและต้องเข้ารับการผ่าตัด หัวใจผมแทบสลาย ความรู้สึกที่รู้ว่าแม่ต้องเจ็บปวด แต่ผมกลับไม่สามารถอยู่ข้างๆ จับมือแม่ รออยู่หน้าเตียง หรือแม้แต่กระซิบว่า “ไม่เป็นไรนะ แม่จะต้องหายดีแน่นอน” 

มันทำให้ผมรู้สึกหมดหนทาง แต่แม่ทำได้ แม่ผ่านมันมาได้ด้วยพลังที่มีอยู่ในตัวแม่ แม่อดทนผ่านการผ่าตัดนานถึงสองชั่วโมง และกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง

แม่คือคนที่กล้าหาญที่สุดในชีวิตผม ผมภูมิใจในตัวแม่เหลือเกิน ไม่ใช่แค่เพราะแม่รอดจากความเจ็บป่วยมาได้ แต่เพราะแม่ยังมีความนิ่ง สุขุม อ่อนโยน และกล้าหาญเหมือนเดิม

ผมขอโทษจากใจจริง ที่ต้องอยู่ไกลจากแม่ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่ผมไม่คิดถึงแม่ ไม่ภาวนาให้แม่แข็งแรง ไม่หวังว่าจะได้กลับไปอยู่ข้างๆ แม่อีกครั้ง ถึงแม้ว่าระยะทางจะทำให้ร่างกายผมอยู่ไกล แต่หัวใจของผม — หัวใจที่แม่มอบให้ — ยังคงอยู่กับแม่เสมอ ทุกความเข้มแข็ง ความอดทน ความเมตตาในตัวผม ล้วนเป็นสิ่งที่แม่สอนและถ่ายทอดให้ผมมาทั้งนั้น

แม่ครับ… ดูแลตัวเองอย่างอ่อนโยนหน่อยนะครับ พักผ่อนให้มากๆ ปล่อยให้ร่างกายได้ฟื้นตัว และขอให้หัวใจของแม่รับรู้ไว้ว่า แม่เป็นที่รักมากแค่ไหน  ไม่ใช่แค่จากผมคนเดียว แต่จากพวกเราทุกคน ผมจะเป็นแรงใจให้แม่เสมอ ด้วยทั้งชีวิตของผม ทุกลมหายใจและพลังทั้งหมดที่ผมมี เพราะหากไม่มีแม่ ผมคงไม่มีวันได้มายืนอยู่บนโลกนี้

แม่คือรากเหง้า คือท้องฟ้า คือบ้านของผม ผมเฝ้ารอวันที่จะได้กลับไปเจอหน้าแม่อีกครั้ง ได้จับมือแม่ และได้นั่งข้างๆ กันโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย จนกว่าจะถึงวันนั้นขอให้แม่รู้ไว้ว่า ผมรักแม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ด้วยความรัก

ลูกชายของแม่

Phoe Thar O 

ถึงแม่ในวันที่ยังต้องกอดความทรงจำแทนตัวแม่

จดหมายทั้ง 6 ฉบับ เป็นจดหมายที่เขียนขึ้นจากความรู้สึกของหนุ่มสาวชาวเมียนมา ที่ต้องพลัดจากบ้านมาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว 

จูเลีย (ผู้เขียนจดหมายฉบับที่ 1) เธอกำลังหมดสัญญากับสถานที่ทำงานที่เธอทำในตำแหน่งผู้ช่วยนักวิจัย ทำให้วีซ่าการทำงานของเธอนั้นต้องจบลง เพื่อหาทางอยู่ต่อในประเทศไทย จูเลียกำลังมองหางานใหม่ในสายงานวิจัยที่เธอถนัด และตั้งใจที่จะเรียนต่อระดับปริญญาโทในประเทศไทย

ในขณะที่ซู  (ผู้เขียนจดหมายฉบับที่ 2) นักศึกษาเมียนมาในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยวัย 20 ปี เธอกำลังจะเรียนจบเร็วๆ นี้ และวางแผนที่จะย้ายไปอยู่ประเทศที่ 3 ที่ปลอดภัย และเปิดโอกาสให้เธอสามารถทำงานที่สามารถหาเลี้ยงครอบครัวและสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศเมียนมาต่อไปได้ 

ซูได้เล่าถึงเหตุการณ์การเสียชีวิตของพ่อในปี 2554 ซึ่งเป็นผลจากความขัดแย้งระหว่างชาวมุสลิมและชาวพุทธในเมืองของเธอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ซูรู้ถึงคุณค่าของการมีประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการได้สัมผัสประชาธิปไตยในช่วงสั้นๆ ในปี 2559 และความผิดหวังเมื่อประเทศเมียนมากลับไปอยู่ภายใต้การปกครองของทหารอีกครั้ง แม้จะเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ซูยังคงมีความหวังว่าจะสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวในสถานที่ที่ปลอดภัยในอนาคตได้

ทางด้านจิต มิน อ่อง (ผู้เขียนจดหมายฉบับที่ 3) อายุ 26 ปี จากเมืองทวาย เขตตะนาวศรี ประเทศเมียนมาร์ เขาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่เรียนไม่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายเนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 และความขัดแย้งทางการเมือง ปัจจุบันทำงานเป็นคนงานก่อสร้างอยู่ในประเทศไทย

ฟินิกส์ (ผู้เขียนจดหมายฉบับที่ 4) เขากล่าวกับเราว่า “ ผมรู้สึกขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศไทยที่ให้ผมได้อยู่อาศัย แต่บางครั้งก็มีเรื่องปัญหาเรื่องสภาพจิตใจเหมือนกันที่ต้องไกลบ้าน  โชคดีที่ผมได้เจอแต่คนต้อนรับอย่างอบอุ่น ความปรารถนาที่แท้จริงของผมคือการได้เดินทาง พบปะผู้คนมากมาย ถ้าประเทศกลับมาดีขึ้น ผมจะรีบทำในสิ่งที่อยากทำทันที ตอนนี้ก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดเป็นหลัก”

ทางฝั่งมิน ซอ (นามสมมุติด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)  (ผู้เขียนจดหมายฉบับที่ 5) ที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ 1 ปีแล้ว ตอนนี้เขากำลังเตรียมเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศมาเลเซียในปีหน้า โดยเขาเรื่องมาเรียนปรับพื้นฐานที่ประเทศไทยก่อนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพราะอยากใช้ชีวิตอยู่ใกล้พ่อแม่ให้ได้มากที่สุด 

“ฉันสมัครเรียนบริหารธุรกิจ แต่ความฝันของฉันคือการเป็นนักมวย”

อย่างไรก็ตามมินซอรู้ดีว่าการเป็นนักมวยไม่ได้มีรายได้มากนัก เขาจึงต้องการทำให้พ่อแม่มีความสุขด้วยการตั้งใจเรียนและกลับไปสานต่อธุรกิจของที่บ้าน 

และทา อู  (ผู้เขียนจดหมายฉบับที่ 6) ผู้เติบโตมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ ในพื้นที่ชนบทของเมียนมา ซึ่งการเข้าถึงการศึกษานั้นเป็นเรื่องยากมาก 

“เมื่อตอนเป็นเด็ก ฉันต้องเดินเท้าไป-กลับวันละกว่า 4 ชั่วโมง เพื่อไปเรียนระดับมัธยมในหมู่บ้านข้างเคียง เพราะหมู่บ้านของฉันมีแค่โรงเรียนระดับประถมเท่านั้น” ทา อูกล่าว

ครอบครัวของทา อูมีพื้นเพเป็นชาวนา การศึกษาจึงเป็นแรงผลักดันในชีวิตเขามาโดยตลอด จนทา อูสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาด้านการศึกษา และได้ทำงานเป็นครูของรัฐ 

อย่างไรก็ตามหลังจากการรัฐประหารในปี 2021 ทา อูได้เข้าร่วมกับขบวนการอารยะขัดขืน (CDM) การรัฐประหาร ซึ่งทำให้เขาต้องสูญเสียตำแหน่งงาน และต้องลี้ภัยออกจากประเทศด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย

ทา อูย้ายมาอยู่ประเทศไทยและสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาโทด้านการศึกษา ปัจจุบันทำงานเต็มเวลาในเครือข่ายพุทธศาสนิกชนผู้มีส่วนร่วมระหว่างประเทศ (INEB) โดยมีบทบาทในการจัดโปรแกรมเพื่อส่งเสริมภาวะผู้นำของเยาวชน การเคลื่อนไหวด้วยจิตวิญญาณ และความเข้มแข็งของชุมชนทั่วทั้งเอเชีย


Related Posts