จุดเริ่มต้นของรูมี กวีและนักปราชญ์ของโลก
โมลาน่า จาลาลูดดิน โมฮัมมัด รูมี (Mawlana Jalal al-Din Rumi) หรือที่รู้จักในชื่อ รูมี (เปอร์เซีย: جلالالدین محمد رومی) เป็นกวี นักปราชญ์ และนักคิดทางจิตวิญญาณชาวเปอร์เซียในศตวรรษที่ 13 เขาเป็นหนึ่งในกวีที่ทรงอิทธิพลที่สุดของโลก และผลงานของเขายังคงสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนจนถึงปัจจุบัน
“โมลาน่า” แปลว่าท่านอาจารย์ หรือนายท่าน (My master) เป็นคำที่ใช้เรียกครูทางจิตวิญญาณที่ได้รับความเคารพสูงสุด และรูมีมาจากชื่อเมืองที่ท่านอยู่นั่นคือเมือง Rum แห่ง Anatolia ปัจจุบันอยู่ในตุรกี ชื่อหลักของท่านคือ จาลาลูดดิน เป็นภาษาอาราบิกแปลว่า “ผู้มีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่”
รูมีเกิดในศตวรรษที่ 13 ในตระกูลครูสอนศาสนาอิสลามที่มีชื่อเสียงและสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน พ่อของเขา บาฮาอุดดีน วาลัด เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนสอนศาสนาชั้นสูงและเป็นที่ปรึกษาของชนชั้นปกครองและพระราชาในยุคนั้น พ่อของรูมีสืบทอดหน้าที่นี้ต่อมาจากปู่ และรูมีก็ได้รับหน้าที่นี้ต่อมาจากพ่อเมื่อเขาอายุ 25 ปี ซึ่งตอนนั้นเขามีชื่อเสียงอยู่แล้วในฐานะนักวิชาการ ครูสอนศาสนาที่รอบรู้ในคัมภีร์อัลกุรอานและหลักการอิสลาม
ซัมส์ ทาบริซ: ครูผู้สละชีวิตเพื่อให้ความเป็นกวีในรูมีก่อกำเนิด
ชีวิตของรูมีได้เปลี่ยนไปจนกลายมาเป็นรูมีที่เรารู้จักทุกวันนี้ จากการได้เจอ ซัมส์ ทาบริซ (Sham Tabriz) ครูทางจิตวิญญาณของเขา และนี่ก็ไม่ใช่ชื่อจริงของเขาเช่นกัน “ซัมส์” แปลว่าดวงอาทิตย์ “ทาบริซ” เป็นชื่อเมืองเกิดของเขา นั่นคือผู้ที่มีฉายาว่า “ดวงอาทิตย์แห่งเมืองทาบริซ”
ซัมส์ ทาบริซ เป็น Sufi Dervish หรือมีความหมายว่า ซูฟีพเนจรที่เดินทางรอนแรมไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทรัพย์สินใดติดตัว แต่ซัมส์เป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีคนมากมายต้องการฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของเขา แม้กระนั้นเขาไม่เคยรับใครเป็นศิษย์เลย และบอกกับทุกคนว่า “เขารอคอยศิษย์เพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถรับน้ำหนักของสิ่งที่อยู่ภายในหัวใจของเขาได้ไหว”
จนกระทั่ง ซัมส์ได้มาเจอกับรูมี การพบเจอกันของทั้งคู่เป็นเรื่องเล่าที่ราวกับเทพนิยาย ทั้งคู่ผ่านการทดสอบมากมาย จนสุดท้ายรูมีก็ได้มาเป็นลูกศิษย์คนนั้นที่ซัมส์รอคอย พวกเขาแยกตัวออกไปอยู่ร่วมกัน 40 วัน และซัมส์ได้ถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดที่เขามีให้กับรูมี โดยเขาเรียกมันว่า “40 Rules of Love” หรือ “กฏแห่งรัก 40 ข้อ” (ปัจจุบันมีหนังสือชื่อนี้แต่เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งมีทั้งเรื่องจริงและเรื่องแต่งผสมกัน)
เมื่อซัมส์และรูมีเดินทางกลับมา บุตรชายคนหนึ่งของรูมีกังวลใจอย่างมากว่าพ่อจะหลงผิดในการติดตามครูที่เป็นคนพเนจรแบบนี้ และกลัวว่าพ่อจะทิ้งหน้าที่การงานที่ประสบความสำเร็จแล้วออกไปเป็นซูฟีพเนจรเช่นเดียวกับซัมส์ บุตรชายคนนี้จึงรวบรวมผู้คน และศิษย์ของรูมีอีกหลายคนที่ไม่ชอบซัมส์เพื่อวางแผนฆ่าเขา
ก่อนหน้านั้นซัมส์เคยพูดกับรูมีว่า “วันหนึ่งในอนาคตเจ้าจะเป็นกวีผู้ยิ่งใหญ่ที่คนทั้งโลกจะรู้จักเจ้า” รูมีหัวเราะแล้วตอบกลับว่า “เป็นไปได้อย่างไร ข้าไม่เคยเขียนบทกวีใด ๆ เลย และแทบไม่เคยอ่านกวีด้วยซ้ำ” ซัมส์กล่าวย้ำว่า “เชื่อข้าเถอะ การเกิดขึ้นของเรื่องราวเหล่านี้มีราคาที่ต้องเสีย และเมื่อถึงเวลานั้น ความเป็นกวีในตัวเจ้าจะถือกำเนิด” และราคาที่ต้องเสียนั้นก็คือชีวิตของซัมส์เอง ซึ่งในตอนที่ซัมส์พูดคุยกับรูมี เขารู้อยู่แล้วว่านี่คือผลที่จะต้องเกิดขึ้น และมีคนจะฆ่าเขา ซัมส์เต็มใจเดินออกไปให้ผู้อื่นจบชีวิตของตัวเองลง เพื่อให้ความเป็นกวีของรูมีได้ถือกำเนิดขึ้นบนโลก
ใจที่แตกสลายและจุดเริ่มต้นของแนวปฏิบัติแบบซูฟี
เมื่อรูมีรู้ข่าวว่าครูผู้เป็นที่รักเสียชีวิต เขารีบเดินทางมาพบครูเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาของไหลรินดั่งมหาสมุทร ใจที่แตกสลายจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักทำให้เขาเริ่มหมุนตัวเป็นวงกลม (Whirling Dervish) ถ้อยคำบอกรักมากมายพรั่งพรูออกมาเป็นบทกวีที่งดงามที่พวกเราได้อ่านมาจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งลูกชายอีกคนหนึ่งของรูมีได้สืบทอดแนวปฏิบัติและก่อตั้ง Mevlevi Order ซึ่งกลายเป็นสายปฏิบัติของซูฟีต่อมา
การหมุนตัวของรูมี หรือ Whirling Dervish เป็นรูปแบบการภาวนาแบบเคลื่อนไหวของนิกายซูฟี โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ปฏิบัติพ้นจากความคิดและความรู้สึกทางโลกเพื่อเข้าถึงภวังค์ที่นำไปสู่การเชื่อมต่อกับพระเจ้า และเป็นการสละทิ้งอัตตา (ego) เพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ผู้ปฏิบัติจะสวมเสื้อคลุมสีขาวและหมวกทรงสูง หมุนตัวรอบแกนกลางของร่างกายตนเอง ใช้มือขวายกขึ้นเพื่อรับพรจากสวรรค์ และมือซ้ายชี้ลงสู่พื้นโลก สื่อถึงการเป็นสื่อกลางระหว่างสวรรค์และโลก พร้อมกับดนตรีและบทกวี โดยเฉพาะบทกวีของรูมี
ใจที่แตกสลายของรูมีในเหตุการณ์นั้นทำให้เกิดบทกวีเล่มแรกของรูมีขึ้น จากการที่ลูกศิษย์ที่อยู่ด้วยได้จดบันทึกถ้อยคำทั้งหมดของรูมีที่ถาโถมออกมาในช่วงที่เขากำลังเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการจากไปของซัมส์ หนังสือเล่มนี้ชื่อว่า “Divini Shams Tabriz” หรือ “ความศักดิ์สิทธิ์แห่งซัมส์ ทาบริซ” และเป็นการพูดถึงเป็นนัยยะว่า ความตายของซัมส์ได้ก่อกำเนิดความเป็นกวีในตัวรูมี และแม้จะมีคนพยายามลบอิทธิพลของซัมส์ด้วยการฆ่าเขา เพื่อทำให้สิ่งที่เขาสอนสูญหายไป การถูกฆ่ากลับยิ่งทำให้คำสอนของเขากลายเป็นอมตะผ่านบทกวีของรูมี
ปัจจุบัน บทกวีของรูมีได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลกเพราะถ้อยคำของเขาทำให้ผู้คนได้สะท้อนความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสภาวะของมนุษย์ แม้ดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบัน บางบทพาผู้คนได้ทบทวนและตระหนักถึงทั้งความโศกเศร้าจากการสูญเสียและความปีติยินดีอย่างล้นเหลือจากความรัก นอกจากนั้นการหมุนตัวแบบซูฟีได้รับการยกย่องจาก UNESCO ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม และยังคงเป็นการแสดงทางวัฒนธรรมที่สำคัญในตุรกี โดยเฉพาะในเมืองคอนย่า ซึ่งเป็นสถานที่รูมีใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายและเป็นที่ตั้งของสุสานของท่าน