ในบ้านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม มีมุมหนึ่งที่เรียกว่า โทโคโนมะ (Tokonoma) พื้นที่เล็ก ๆ ยกพื้นขึ้นมานิดเดียว ไม่ได้มีไว้ใช้วางของที่จำเป็น ไม่ได้มีหน้าที่ชัดเจนอะไรนัก แต่กลับเป็นมุมที่ทำให้บ้านทั้งหลังดูมีความหมายบางอย่างขึ้นมา มุมนี้มีเพียงม้วนภาพหนึ่งผืน ดอกไม้จัดอย่างเรียบง่าย และบางครั้งก็มีวัตถุเล็ก ๆ วางอยู่ เหมือนเจ้าของบ้านอยากทิ้งร่องรอยอะไรบางอย่างไว้โดยตั้งใจจะไม่อธิบายมากไปกว่านั้น
ความงามของโทโคโนมะคือมัน “ไม่พูด”
และเพราะมันไม่พูด เด็กในบ้านจึงเรียนรู้ที่จะมองก่อน
และ ค่อย ๆ “รู้สึก” ก่อนที่จะคิดว่าจะต้องเข้าใจมันอย่างไร
เมื่อฤดูกาลเปลี่ยน ภาพในโทโคโนมะก็เปลี่ยน ดอกไม้ก็เปลี่ยน บางวันอาจสดใส บางวันอาจหม่นลงเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มุมนั้นมักส่งความตั้งใจ ความหมาย บางอย่างอยู่เสมอ เด็กที่เติบโตในบ้านแบบนี้จึงค่อย ๆ เรียนรู้ว่าโลกไม่ได้มอบความหมายด้วยประโยคตรง ๆ เสมอไป บางครั้งความหมายก็เกิดขึ้นเพียงเพราะเรามองมันและอยู่กับมันได้อย่างยาวนานพอ
เด็กสามารถเห็นอะไรก็ได้ในภาพเดียวกัน ด้วยตาและความคิดของตัวเอง ไม่ใช่คำเฉลยจากผู้ใหญ่ โทโคโนมะจึงเป็นการฝึกตีความแบบที่เบาสบายที่สุดที่อยู่ในชีวิตประจำวันแบบธรรมดาของเด็ก ๆ เป็นบทเรียนที่เกิดขึ้นตอนกำลังวิ่งเล่นบ้าง ทานข้าวบ้าง หรือบางทีอาจเกิดตอนที่แค่เดินผ่านโทโคโนมะโดยบังเอิญ
เมื่อมองย้อนกลับไปจึงเห็นชัดว่าวัฒนธรรมการอ่านภาพของญี่ปุ่นไม่ได้เริ่มต้นจากห้องเรียน พิพิธภัณฑ์ วัด หรือวัง และไม่ได้เริ่มจากหนังสือภาพชื่อดัง แต่มันเริ่มจากในบ้าน วิธีดูแลพื้นที่เล็ก ๆ วิธีเปิดพื้นที่ให้ความหมายค่อย ๆ ปรากฎขึ้นมาเอง เด็กเรียนรู้ว่า “ภาพไม่ได้มีคำตอบเดียว” และนั่นทำให้การอ่านภาพกลายเป็นเรื่องธรรมชาติ และธรรมดา ไม่ใช่ทักษะที่ต้องพยายาม
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เด็กญี่ปุ่นจำนวนมากเติบโตขึ้นมาพร้อมความสามารถในการอ่านโลกไม่ใช่แค่ด้วยตา แต่ด้วยใจที่พร้อมจะมองเห็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกพูดออกมาชัดเจน
ฤดูกาลและเทศกาล : ภาพที่สอนให้เด็กเข้าใจบริบท ก่อนจะเข้าใจความหมาย
ถ้าโทโคโนมะคือครูคนแรกที่สอนให้เด็กมองภาพอย่างสงบ ฤดูกาลก็อาจเป็นครูคนแรกที่สอนให้เด็กมองโลกแบบมีบริบท แบบที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลและเวลาอย่างเป็นธรรมชาติ และความหมายของภาพหนึ่งภาพก็เปลี่ยนไปตามฤดูที่มันอยู่ด้วย
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ฤดูกาลชัดเจนมาก จนเหมือนธรรมชาติเขียนหนังสือภาพเล่มใหญ่ให้คนทั้งประเทศอ่านใหม่ทุกสามเดือน เด็กเล็กจึงเติบโตมาในโลกที่สีของใบไม้ กลิ่นของลม และการจัดวางเล็ก ๆ ในบ้าน ล้วนเป็น “สัญญะ” ที่บอกอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องพูด
ต้นปีใหม่ บ้านแต่ละหลังจะประดับ kadomatsu หรือเชือก shimekazari ไว้หน้าประตู มันไม่ได้มีเสียง ไม่ได้มีไฟกระพริบ แต่ทำหน้าที่บอกว่า “ปีใหม่นี้เริ่มแล้วนะ” พอถึง Setsubun เด็กจะเห็นหน้ากากยักษ์และถั่วอบเต็มบ้าน ไม่ใช่เพราะมันมีความสำคัญเชิงวิชาการอะไร แต่เพราะบ้านกำลังขับไล่สิ่งไม่ดีด้วยวิธีที่สนุกสำหรับทุกคน
ในเดือนมีนาคม ตุ๊กตาฮินะจะถูกตั้งขึ้นเป็นชั้น ๆ เหมือนเวทีเล็ก ๆ ที่ทั้งบ้านมีส่วนร่วม เด็กไม่ได้ถูกสอนว่าตุ๊กตาแปลว่าอะไร แต่เขารู้สึกว่ามันคือสัญญะของการอวยพร ความหมายที่สัมผัสได้มากกว่าการท่องวันสำคัญหรือการได้คำตอบจากผู้ใหญ่
สิ่งเหล่านี้ค่อย ๆ ทำให้เด็กเข้าใจว่าฤดูกาล ไม่ใช่เพียงวันเดือนปีในปฏิทิน แต่คือความรู้สึก คือความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ คืออารมณ์ และช่วงเวลาต่าง ๆ ของชีวิต และทำให้เด็กญี่ปุ่นคุ้นเคยกับการตีความแบบ “ยืดหยุ่น” ที่ไม่มีความหมายตายตัว แต่เปลี่ยนไปตามบริบท สีสัน และบรรยากาศ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การตีความไม่ได้เป็นเรื่องถูกผิด แต่มันเป็นการเชื่อมโยงระหว่าง “สิ่งที่เห็น” กับ “สิ่งที่รู้สึก”
และเพราะฤดูกาลหมุนเปลี่ยนโดยไม่ต้องขออนุญาตจากใคร เด็กจึงได้ฝึกตีความโลกอย่างเบาสบาย ไม่ใช่ด้วยความกลัวว่าจะตีความผิด แต่ด้วยความตื่นเต้นว่า “ปีนี้ฤดูหนาวจะพาอะไรมาให้ดูบ้างนะ”
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เมื่อเด็กญี่ปุ่นหยิบหนังสือภาพขึ้นมา เขาไม่ได้อ่านแค่ตัวละครหรือเหตุการณ์ แต่เขาอ่าน “บรรยากาศ” อ่านแสง อ่านเงา อ่านน้ำหนักของอารมณ์ อ่านช่องว่างระหว่างบรรทัด เพราะนี่คือสิ่งที่เขาคุ้นเคยจากการอยู่กับฤดูกาลทั้งสี่ทุกปี และบ้านที่ใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงของช่วงเวลาเหล่านั้น
ฤดูกาลจึงเป็นเหมือนหนังสือภาพเล่มแรกของเด็ก เปิดออกช้า ๆ เปลี่ยนทีละหน้า และบอกกับเด็ก ๆว่าโลกไม่ได้ต้องการคำอธิบายเสมอไป บางครั้งมันแค่ต้องการให้เราดูนานพอที่จะเห็นความหมายที่ซ่อนอยู่
คามิชิไบ : ภาพที่เล่าเรื่องช้า ๆ และสอนให้จินตนาการต่อในช่องว่าง
หากโทโคโนมะสอนให้เด็กญี่ปุ่น “มอง” และฤดูกาลสอนให้ “อ่านบริบท”
คามิชิไบ (Kamishibai) ศิลปะเล่านิทานด้วยภาพบนกระดาษ ก็คือช่วงเวลาที่เด็กได้เรียนรู้ว่าเรื่องราวที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ และบางครั้ง ความหมายที่งดงามที่สุด คือสิ่งที่เราคิดเติมเองระหว่างรอคอย
คามิชิไบ (Kamishibai) คือ ศิลปะการเล่านิทานที่มีต้นกำเนิดที่ประเทศญี่ปุ่น โดยใช้กล่องไม้ที่เรียกว่า “บุไต” (Butai) เป็นฉาก และใช้แผ่นภาพวาดที่ซ้อนกันอยู่ภายใน ดึงออกมาทีละแผ่นเพื่อเล่าเรื่องราว
ในทศวรรษ 1930 ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ผู้คนจำนวนมากในญี่ปุ่นเดินทางไปตามหมู่บ้านเพื่อหาเลี้ยงชีพด้วยการเล่านิทาน พวกเขามาพร้อมจักรยาน กล่องไม้ และชุดภาพกระดาษที่วาดด้วยมืออย่างประณีต ทุกอย่างเรียบง่ายจนแทบไม่น่าคิดว่าจะกลายเป็นความทรงจำระดับชาติ แต่เด็กจำนวนมากในยุคนั้นเติบโตมาด้วยเสียงเคาะไม้สองครั้งที่ประกาศว่า “คามิชิไบมาถึงแล้ว”
เด็ก ๆ วิ่งออกจากบ้าน หัวใจเต้นเบา ๆ เหมือนกำลังจะได้ฟังความลับใหม่ของโลก นักเล่าเรื่องจะค่อย ๆ เลื่อนภาพทีละใบเหมือนเปิดหน้าต่างให้เด็กเห็นอีกชั้นหนึ่งของเรื่องราว เสียงเล่าประกอบนั้นไม่ดัง ไม่เร่งเร้า แต่เต็มไปด้วยจังหวะพอดี ช้าพอให้ภาพซึมเข้าไปในใจ และเร็วพอให้เด็กยังอยากฟังต่อ
แต่เสน่ห์ที่สุดของคามิชิไบคือ มันไม่เคยเล่าจบหมดในครั้งเดียว
เมื่อเรื่องกำลังเข้มข้นที่สุด ตัวเอกกำลังจะหนี วายร้ายกำลังจะเปิดเผยความลับ ภาพก็หยุดอยู่ตรงนั้น คุณคามิชิไบ นักเล่าเรื่องยิ้มจาง ๆ แล้วปิดกล่องไม้ ปั่นจักรยานจากไปเหมือนลมพัดผ่าน
เด็ก ๆ ถูกทิ้งไว้กับ “ช่องว่าง” ระหว่างตอน ช่องว่างที่ต้องใช้จินตนาการของตัวเองเติมเต็ม
ในช่องว่างนั้น บางครั้ง 1 คืน และบางครั้งก็ 1 สัปดาห์ มันยาวนานเพียงพอให้เด็กได้ถามตัวเองว่า
เรื่องจะไปทิศทางไหน?
ตัวละครจะทำอย่างไรต่อ?
ความกลัว ความหวัง ความตื่นเต้นของเขากำลังจะพาเรื่องนี้ไปที่ไหน?
นี่คือบทเรียนสำคัญมากในการอ่านภาพ เด็กเรียนรู้ว่า “ภาพหนึ่งภาพ” ไม่ได้บอกแค่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่บอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อด้วย ถ้าเรายอมเปิดพื้นที่ให้ภาพได้ทำงาน
คามิชิไบจึงไม่ใช่แค่การเล่านิทาน แต่เป็นโรงเรียนของการจินตนาการ โรงเรียนที่สอนให้เด็กไม่กลัวความไม่รู้ (ตอนจบ) การไม่กลัวความคลุมเครือ และไม่กลัวที่จะคิดต่อด้วยตัวเอง เหมือนเป็นการฝึกกล้ามเนื้อของความคาดหวัง ความสงสัย ความคิดสร้างสรรค์ และความสามารถในการ “อ่านระหว่างบรรทัด” ของภาพ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง คามิชิไบยังคงอยู่ในหัวใจของผู้คน แม้โทรทัศน์จะเข้ามาแทนที่ในที่สุด แต่สิ่งที่คามิชิไบทิ้งไว้คือทักษะอันงดงามที่ถูกส่งต่อมาไม่รู้กี่รุ่น
ทักษะของการมองภาพแล้วถามว่า
“ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันคิดอย่างไรกับสิ่งที่เห็น?”
“ฉันกำลังรู้สึกอะไร?”
ทักษะเหล่านี้คือหัวใจของการอ่านภาพ และเป็นหัวใจของการอ่านโลก
ซึ่งทั้งหมดเริ่มต้นมาจากการนั่งรวมกันเงียบ ๆ ข้างถนน หน้ากล่องไม้เล็ก ๆ ที่เล่าเรื่องทีละภาพ ด้วยจังหวะที่พอเหมาะพอดีกับการเติบโตของหัวใจเด็กคนหนึ่ง
Doshinsha : การสืบสานงานศิลปะที่ไม่ยอมให้เรื่องเล่าถูกกลืนหายไปกับความเร็วของโลก
แม้คามิชิไบจะเคยมีผู้ชมวันละหลายร้อยคน แต่โลกหมุนเร็วพอที่ศิลปะเรียบง่ายชนิดนี้จะเสี่ยงหายไปในชั่วอายุเดียว เมื่อโทรทัศน์เข้ามาแทนที่ภาพที่ถูกเลื่อนด้วยมือ เรื่องเล่าที่ถูกหยุดกลางคันก็เหมือนจะไม่มีที่อยู่บนถนนอีกต่อไป แต่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังเชื่อว่า คามิชิไบไม่ได้เป็นเพียงความบันเทิงในอดีต มันเป็น “วิธีมองโลก” ซึ่งหากปล่อยให้หายไป จะเป็นการสูญเสียบางอย่างที่มากไปกว่า “ศิลปะบนกระดาษ” มาก
กลุ่มคนนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นสำนักพิมพ์เล็ก ๆ ในนาม Doshinsha พวกเขาไม่ได้เพียงพิมพ์ชุดภาพ แต่เก็บลมหายใจของคามิชิไบ ลมหายใจของการเล่าเรื่องด้วยความตั้งใจ ลมหายใจของศิลปินที่ทำงานอย่างช้าๆ อย่างเคารพต่อเด็กและผู้ฟัง รวมถึงลมหายใจของความว่างที่ค่อย ๆ ได้รับเต็มขึ้นไปด้วยความหมายเมื่อภาพถูกเลื่อนออกไปทีละใบ
วันนี้ Doshinsha เป็นหนึ่งในผู้ผลิตคามิชิไบที่สำคัญที่สุดของญี่ปุ่น และสิ่งที่พวกเขารักษาไว้น่าสนใจกว่าเนื้อหาของเรื่องเล่าเสียคือ “ท่าที” ของศิลปะรูปแบบนี้ ศิลปินรุ่นอาวุโสหลายคนที่ทำงานกับ Doshinsha มักเล่าว่าการวาดภาพสำหรับคามิชิไบต้องคิดเสมอว่า ผู้ชมจะเติมอะไรลงไปในช่องว่างของภาพนี้?
เพราะคามิชิไบที่ดีไม่ใช่คามิชิไบที่เล่าเรื่องครบถ้วน แต่เป็นคามิชิไบที่ ปล่อยช่องว่างไว้อย่างสวยงามพอ ให้เด็กได้ใส่ความคิดของตัวเองลงไป
โดยเฉพาะเมื่องานของศิลปินรุ่นเก่าที่ผ่านสงครามถูกนำกลับมาพิมพ์ใหม่ ภาพเหล่านั้นไม่ได้บอกเล่าเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยตรง แต่บอกถึงความรู้สึกของมนุษย์ในช่วงเวลานั้น ความกลัว ความไม่แน่นอน ความหวังที่ยังเล็กมาก แต่ยังคงอยู่ เด็กไม่ได้ถูกบอกให้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ได้เผชิญ “ความจริงชนิดที่รับได้” เพราะภาพช่วยนำพาพวกเขาไปอย่างอ่อนโยน
Doshinsha ค่อย ๆ ทำให้เราตระหนักว่า ศิลปะสำหรับเด็กไม่จำเป็นต้องสดใสเสมอไป มันสามารถซื่อตรง อ่อนไหว หรือแม้แต่หม่นเศร้าเล็กน้อยได้ หากสิ่งนั้นช่วยให้เด็กได้เข้าใจโลกและตัวเองมากขึ้น
วันนี้คามิชิไบไม่ได้ถูกเล่าแค่บนถนนเหมือนสมัยก่อน แต่ถูกเล่าในห้องสมุด โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก และงานชุมชนทั่วประเทศ เด็กยุคใหม่ซึ่งคุ้นเคยกับหน้าจอที่ขยับตลอดเวลา ได้พบกับความสนุกสนานอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดจากจังหวะช้าของภาพ และเสียงเล่าเรื่องที่พาให้ตั้งใจฟังทีละประโยค
และในทุกครั้งที่ภาพถูกเลื่อนออกอย่างช้าเพียงพอ เด็กกำลังฝึกทักษะบางอย่างที่หน้าจอให้ไม่ได้
ทักษะของการรอคอย
การคาดเดา
การตีความ
การมองโลกอย่างไม่รีบรีบสรุป
สิ่งเหล่านี้ทำให้คามิชิไบไม่ใช่ศิลปะในอดีต แต่เป็นของขวัญสำหรับอนาคต อนาคตที่เราต้องการเด็กที่อ่านโลกได้ด้วยสายตาที่ไว้ใจกระบวนการช้า ๆ มากพอ
ประวัติศาสตร์ของ “เอะฮง (Ehon)” จากภาพของผู้ใหญ่ สู่พื้นที่ที่เด็กได้เรียนรู้จะมองโลกด้วยสายตาของตัวเอง
ก่อนคำว่าหนังสือภาพ หรือ picture book จะมีความหมายเหมือนในปัจจุบัน ญี่ปุ่นรู้จัก “เอะฮง” มาเป็นพันปี แต่เดิม เอะฮง ไม่ได้เป็นของเด็กเลย แต่คือการรวมกันของภาพและเรื่องเล่าที่อยู่บนม้วนกระดาษยาว ความงามของมันไม่ใช่รูปทรงของหนังสือ แต่คือการที่ผู้อ่านต้อง “อ่านด้วยการคลี่” ภาพทีละช่วง เหมือนเดินเข้าไปในเรื่องราวอย่างช้า ๆ กลายเป็นประสบการณ์มากกว่าการอ่าน
เมื่อภาพเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ในสมัยเฮอันจนถึงเอโดะ ภาพพิมพ์ไม้และม้วนภาพ (emakimono) ทำหน้าที่บันทึกชีวิตผู้คน ความเชื่อ และเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้มีไว้เพื่อสอนเด็ก และไม่ได้มีกรอบว่าควรเข้าใจอย่างไร จึงเป็นศิลปะแบบ “ผู้ใหญ่ชมได้ เด็กก็อ่านได้” ซึ่งเป็นธรรมชาติอันสวยงามที่ไม่ต้องแยกอายุผู้ชม ทุกคนถูกเชื้อเชิญให้ตีความในแบบของตน
นี่คือหนึ่งในรากที่ทำให้วัฒนธรรมภาพของญี่ปุ่นไม่แบ่ง “ระดับ” ความหมาย เด็กไม่ได้ถูกกันออกจากพื้นที่ของการตีความ เด็กจึงคุ้นกับการมองภาพแบบไม่ต้องให้ใครบอกว่าควรรู้สึกอะไรตั้งแต่ต้น
ยุคเมจิ: การพบกันระหว่างโลกตะวันออกและตะวันตก
เมื่อญี่ปุ่นเปิดประเทศในยุคเมจิ ภาพประกอบสไตล์ตะวันตกเข้ามา ทั้งโทน สี เส้น และการจัดองค์ประกอบ เด็กญี่ปุ่นในยุคนั้นจึงเติบโตกับภาพ แบบ “สองภาษา” โดยไม่รู้ตัวภาษาแบบญี่ปุ่นที่เน้นบรรยากาศ ช่องว่าง ความเงียบ และภาษาแบบตะวันตกที่เน้นการเคลื่อนไหว เรื่องเล่า และจังหวะชัดเจน
นิตยสารเด็กเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคนั้น เช่น Shōnen Sekai และ Jo Gaku Sekai พร้อมซีรีส์นิทาน Nihon’ichi no Ebanashi ที่ทำให้เด็กเข้าถึงหนังสือภาพได้มากขึ้น แม้หนังสือยุคนี้ยังเน้นสอนศีลธรรมแบบตรงไปตรงมา แต่การทำงานของศิลปะในฐานะ “สื่อสำหรับเด็ก” ก็เริ่มเปิดขึ้นทีละน้อย
ยุคไทโช: เด็กไม่ใช่ผู้รับ แต่เป็นผู้อ่าน
ยุคไทโชคือช่วงที่เอะฮงเริ่มกลายร่างอย่างแท้จริง เป็นการเปลี่ยนแปลงที่อาจไม่เปรี้ยงปร้างในประวัติศาสตร์ระดับโลก แต่เป็นการสั่นสะเทือนระดับรากของวัฒนธรรมการเล่าเรื่องสำหรับเด็กในญี่ปุ่น
ในปี 1918 นิตยสาร Akai Tori เกิดขึ้นพร้อมแนวคิดใหม่ว่า “เด็กคือมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว” หนังสือจึงไม่ใช่เครื่องมือสำหรับสั่งสอน ศิลปินได้รับอิสระอย่างเต็มที่ที่จะสร้างงานให้เด็กได้สัมผัส มากกว่าถูกควบคุมว่าต้อง “สั่งสอนอะไร”
ตามมาด้วย Kodomo no Kuni ในปี 1922 วารสารที่เต็มไปด้วยสีสันและศิลปินกว่า 100 คน นำกระแสศิลปะจากยุโรปมาผสมกับรสนิยมของญี่ปุ่น ทั้ง Art Deco, Expressionism, Cubism งานจำนวนมากไม่เหมือนงานสำหรับเด็กในยุคนั้น แต่มีละมุน มีความลึก และมีลำดับชั้นของความหมาย
เด็กจึงไม่ได้เป็นเพียง “ผู้อ่านตัวหนังสือ” แต่เป็นผู้ชมภาพ เป็นผู้ตีความ เป็นผู้ร่วมสร้างความหมายของงาน เหมือนยืนดูศิลปะสมัยใหม่ที่เด็กถูกเชื้อเชิญเข้าไปด้วยอย่างเท่าเทียม
หลังสงคราม: เมื่อเด็กต้องการความจริงที่อ่อนโยนกว่าครั้งไหน ๆ
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นเผชิญความสูญเสียขนาดใหญ่ ช่วงเวลาโศกเศร้านี้กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการเติบโตครั้งใหญ่ของหนังสือภาพสำหรับเด็ก เพราะผู้ใหญ่เริ่มเข้าใจว่าเด็กต้องการโลกที่ซื่อสัตย์ แต่ขณะเดียวกันก็อ่อนโยนเพียงพอที่จะแบกรับไว้ได้
ในปี 1952 Fukuinkan Shoten ก่อตั้งขึ้น พร้อมหลักคิดเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง หนังสือภาพไม่ใช่เครื่องมือสอน แต่เป็นสื่อทางอารมณ์และพัฒนาการของมนุษย์
ในปัจจุบัน Fukuinkan วางแผนผลิตงานล่วงหน้าทั้งนิทานและสารคดี ล่วงหน้ากว่า 5 ปี โดยจัดพิมพ์ปีละประมาณ 60 เล่ม เพื่อสร้าง “ระบบนิเวศ” ของงานศิลปะสำหรับเด็กที่มั่นคงและต่อเนื่อง ศิลปินได้รับอิสระมากพอที่จะสร้างงาน ไม่ใช่ตามเนื้อหาคำสั่งสอนของผู้ใหญ่
ตรงนี้เองที่ญี่ปุ่นเริ่มเห็นชัดว่า เด็กไม่ต้องการคำตอบสำเร็จรูป แต่ต้องการพื้นที่เรียนรู้ด้วยตัวเอง และหนังสือภาพคือพื้นที่นั้น
หนังสือภาพญี่ปุ่นยุคใหม่ เบา ลึก และเปิดพื้นที่เพื่อการค้นพบ
ในทุกวันนี้ญี่ปุ่นผลิตหนังสือภาพประมาณ 4,000 เล่มต่อปี แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าตัวเลขคือ “ท่าที” ของงานที่ยังคงรักษาหัวใจแบบเดียวกับโทโคโนมะ คือไม่บอกว่า “ภาพ” หมายความว่าอะไร ไม่ต้องเร่งทำความเข้าใจ และไม่สรุปก่อนที่เด็กจะรู้สึกได้เอง และนี่คือมรดกที่สืบทอดต่อกันมาเป็นศตวรรษของหนังสือภาพจาก โทโคโนมะ มายังคามิชิไบ และ เอะฮง มรดกของการเชื่อใน “ปัญญาของเด็ก” มากกว่าความสำเร็จของ “การสอน” จากผู้ใหญ่
หนังสือภาพจึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือพัฒนาเด็ก แต่เป็นพื้นที่ที่เด็กจะได้รู้จักโลกด้วยจังหวะช้าๆ จังหวะที่ค่อย ๆ เปิดเผย และอนุญาตให้ความหมายเกิดขึ้นอย่างอิสระ
อ้างอิง
- Hempel, R. (1989). The Heian Civilization of Japan. Phaidon.
- Okudaira, H. (1973). Emaki: Narrative Scrolls from Japan. Weatherhill.
- Mason, P. (1993). History of Japanese Art. Harry N. Abrams.
- Doshinsha Publishing. Kamishibai Archives. (Tokyo, Japan).
- Suzuki, E. (2010). “The Social Role of Kamishibai in Pre-war and Post-war Japan.” International Research in Children’s Literature.
- Yoshitake, S. (2009). The Art of Kamishibai. Kyoto University Folklore Series.
- Fukuinkan Shoten Editors. (2002). The History of Japanese Picture Books 1950–2000. Fukuinkan Shoten.
Nihon Ehon Kenkyukai (Japan Picture Book Research Association). Chronology of Japanese Ehon.
- Akai Tori Archives (1918–1936). Tokyo Women’s Christian University.
- Kodomo no Kuni Archives (1922–1944). International Library of Children’s Literature, Tokyo.
- Yokota, J. (2014). “The Evolution of Japanese Picturebook Aesthetics.” Children’s Literature in Education.
- Kosslyn, S. (1996). Image and Brain: The Resolution of the Imagery Debate. MIT Press.
- Arnheim, R. (1969). Visual Thinking. University of California Press.
- Winner, E., & Hetland, L. (2000). The Arts and Cognition Project. Harvard Project Zero.
- Gopnik, A. (2009). The Philosophical Baby. Farrar, Straus and Giroux.
- Parsons, M. (1987). How We Understand Art: A Cognitive Developmental Account of Aesthetic Experience. Cambridge University Press.
- Nikolajeva, M. (2014). Reading for Learning: Cognitive Approaches to Children’s Literature. John Benjamins Publishing.
- Sipe, L. (1998). “How Picturebooks Work: A Semiotically Framed Theory of Text-Picture Relationships.” Children’s Literature in Education.
- Rosenblatt, L. (1978). The Reader, the Text, the Poem. Southern Illinois University Press.
- International Library of Children’s Literature (Tokyo). Annual Reports (2000–2022).
- International Institute for Children’s Literature (Osaka). Collections & Statistics.
- Japan Library Association. Children’s Library Network Reports.
Nippon Foundation. (2018). State of Picturebook Publishing in Japan.

