เมื่อ ‘สาวๆ’ ค้นพบตัวตนในวัยชรา ใน ‘แก๊งคุณย่ากับชุดบิกีนี’

*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญในหนังสือ

เช้าวันหนึ่งช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ครอบครัวหนึ่งตื่นมาพบว่าคุณย่าซู่อิงวัย 70 ปีและหลานสาววัย 10 ขวบครึ่งอย่างหลินข่ายถิงหายตัวไปจากบ้าน แน่นอนว่าสมาชิกทุกคนในบ้านซึ่งประกอบไปด้วยลูกชายคุณย่าผู้เป็นพ่อของเด็กหญิงข่ายถิง ลูกสะใภ้ และหลานชายต่างก็เดือดเนื้อร้อนใจเพราะความเป็นห่วง แต่คนที่ดูจะเดือดร้อนนั่งไม่ติดที่สุดคือคุณปู่สามีของคุณย่า เพราะคุณย่าไม่อยู่ทั้งคน ใครจะตื่นมาทำงานบ้าน เตรียมอาหาร จัดแจงทุกอย่างให้คนที่บ้าน

ที่จริงทั้งคู่เพียงแต่ไปเที่ยวเมืองไถตงกับแก๊งคุณย่าอีกสามคนที่ต่างได้รู้จักกันจากการไปรอรับหลานหน้าโรงเรียน

สมาชิกในทริปนี้ประกอบไปด้วย คุณย่าสือหยวน พี่ใหญ่ของกลุ่มที่เป็นคนตรงไปตรงมา ตัดสินใจรวดเร็วเด็ดขาด คุณย่าอาจู ที่ตรวจพบก้อนเนื้อซึ่งอาจเป็นมะเร็งเต้านมและต้องตัดเต้านมออก จนเป็นเหตุให้เกิดทริป ‘อำลาเต้านม’ อย่างทริปนี้ขึ้น คุณย่าซูหนี่ว์ที่จะบอกว่าเป็นสมาชิกกลุ่มก็ไม่ถูกนัก เพราะที่จริงเธอแทบจะเข้ากับใครไม่ได้จากนิสัยจุกจิกขี้บ่น และติดสอยห้อยตามมาในทริปนี้โดยที่ไม่ได้มีใครชวน และคุณย่าซู่อิง ย่าของหลินข่ายถิง เด็กหญิงอายุ 10 ขวบครึ่งที่จะเป็นผู้พาเราไปผจญภัยเมืองไถตงกับแก๊งคุณย่าในวรรณกรรมเยาวชนสตรีนิยมอย่างแก๊งคุณย่ากับชุดบิกินี’  ที่เขียนโดยเผิงซู่หวา

การเดินทางในทริปอำลาเต้านมของคุณย่าอาจูที่มีเหล่าย่าๆ คนอื่นและเด็กหญิงสิบขวบครึ่งอย่างข่ายถิงร่วมเดินทางไปเป็นเพื่อนนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้คุณย่าอาจูได้พาเต้านมร่วมเดินทางไปด้วยเป็นครั้งสุดท้ายเท่านั้น แต่ยังทำให้ทั้งแก๊งคุณย่าและหลานสาวได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างระหว่างทาง ย่าบางคนได้ก้าวข้ามความเจ็บปวดในอดีต ย่าบางคนได้สละทิ้งบทบาทที่สังคมหยิบยื่นให้โดยเรียนรู้จากมุมมองที่มีต่อบทบาทของผู้หญิงอย่างสายตาคนสมัยใหม่จากหลานสาว ย่าบางคนได้รู้ว่าไม่ต้องพยายามเพื่อจะได้รับการยอมรับตลอดเวลาก็ได้ ขณะที่การได้ใช้เวลากับคุณย่าเพียงไม่กี่วันก็ทำให้เด็กหญิงได้เห็นด้านแปลกใหม่ของเหล่าคุณย่าที่เธอไม่คิดว่าจะได้เห็น และการได้สัมผัสสิ่งนั้นก็ทำให้เธอโอบรับตัวตนใหม่ของตัวเองที่เธอเคยปฏิเสธและไม่คุ้นชินได้เช่นกัน

ย่าสือหยวน: ผู้ทำให้ข่ายถิงเรียนรู้อารมณ์อันซับซ้อนของมนุษย์

แม้ว่าทริปไปไถตงจะมีเป้าหมายหลักคือการพาคุณย่าอาจูเที่ยวก่อนที่จะต้องอำลาเต้านมที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิต แต่สาเหตุที่ย่าสือหยวน ที่ปรึกษาของกลุ่มเลือกไถตงเป็นจุดหมายเพราะเธอเองก็มีเรื่องค้างคาใจที่ต้องก้าวข้ามให้ได้อยู่ที่เมืองนี้

แม้ที่ผ่านมาคุณย่าสือหยวนจะดูเป็นคนเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งที่สุด ทว่าเรื่องค้างคาใจของคุณย่ากลับกลายเป็นเรื่องราวความรักตั้งแต่เธอยังสาว คุณย่าสือหยวนเคยเป็นคนไถตงก่อนจะย้ายมาไทเป ในอดีตเธอมีคนรักชื่อเจียงฝูซิง ทุกอย่างไปได้สวยแต่ติดปัญหาเดียวคือพ่อแม่ของย่าสือหยวนไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์ในครั้งนี้และพยายามกีดกันทุกวิถีทางจนทั้งสองตัดสินใจที่จะหนีไปด้วยกัน แต่แล้วพ่อและแม่ของย่าสือหยวนก็ทราบเรื่องจนได้และได้กักขังย่าสือหยวนไว้ในบ้าน ก่อนที่จะให้ย่าสือหยวนย้ายไปอยู่เมืองอื่น ความค้างคาใจของย่าสือหยวนจึงเป็นเรื่องที่ว่าเธอผิดนัดในวันที่จะหนีไปกับเจียงฝูซิงโดยที่ไม่มีแม้โอกาสได้ขอโทษเขา

‘ความรักคืออะไรกันแน่’ คงจะกลายเป็นสิ่งที่ข่ายถิงวัยสิบขวบครึ่งเฝ้าขบคิดตลอดทริปตั้งแต่ได้ยินเรื่องราวความรักของย่าสือหยวน เพราะยิ่งการเดินทางตามหาฝูซิงพาพวกเธอไปไกลเท่าไร ข่ายถิงก็กลับต้องเจอแต่เรื่องราวชวนงงงวย ซับซ้อน สับสน ของความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘ความรัก’ มากขึ้นเท่านั้น      

เรื่องแรกนั้น ในสายตาเด็กสิบขวบครึ่ง ข่ายถิงอาจยังไม่เคยต้องพรากจากใคร ไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันคนเคยรักกับใคร ทำให้เธออนุมานไปว่าการที่ย่าสือหยวนยังรักยังอาวรณ์ความรักเก่าอยู่ อาจเท่ากับว่าสามีคนปัจจุบัน (ที่จากไปแล้ว) ของคุณย่าสือหยวนเป็นคนไม่เอาไหน เธอเอ่ยปากถามย่าสือหยวนเรื่องนี้ด้วยซ้ำ แต่คำตอบที่ได้จากย่าสือหยวนคือคุณปู่ผู้เป็นสามีของคุณย่านั้นเป็นผู้ชายที่ดีและทั้งคู่ก็รักกันจริงๆ ที่จริงคุณย่าสือหยวนไม่ได้คิดถึงฝูซิงด้วยซ้ำในวันที่มีคุณปู่อยู่ข้างกาย เพียงแต่การตามหาซูฝิงในครั้งนี้คือการเยียวยารักษาความรู้สึกผิดภายในใจเท่านั้นเอง

ต่อเมื่อได้เจอกับฝูซิง ที่ในตอนนี้ได้มีครอบครัวที่ดี สือหยวนและปาไน่ ผู้เป็นภรรยาของคนรักเก่าเธอ กลับเข้ากันได้เป็นอย่างดี ทั้งสือหยวน คนรักเก่า และปาไน่ ต่างก็หยิบยื่นมิตรภาพที่สวยงามให้แก่กัน นั่นทำให้เด็กหญิงอย่างข่ายถิงสงสัยอีกว่า เหตุใดย่าสือหยวนจึงไม่เศร้าเสียใจที่พบว่าคนรักเก่าที่เฝ้าตามหากลับมีภรรยาที่ครองรักกันมาเนิ่นนานไปแล้ว

“ถ้าบอกว่าฉันไม่คิดถึงฝูซิงก็เท่ากับหลอกคนอื่น แต่ถ้าเลือกระหว่างเห็นเขาเจ็บปวดเพราะความคิดถึงกับการมีความสุข ฉันเลือกเห็นเขามีความสุข” ย่าสือหยวนตอบ “เด็กเอ๋ย ฉันไม่เจ็บปวดหรอก คนที่เจ็บปวดคือซูย่วนเมื่อ 50 ปีก่อน”

เรื่องราวความรักของย่าสือหยวนทำให้เด็กหญิงข่ายถิงได้เรียนรู้ ทั้งความซับซ้อนของความรัก ว่าตลอดชีวิตทั้งชีวิตเราไม่จำเป็นต้องรักใครสักคนแค่คนเดียว ว่าเรายังคงมีความรักที่ดี ขณะที่ยังเก็บความทรงจำดีๆ ไว้ในหัวใจ ว่าบางครั้งเราวิ่งตามอดีต ไม่ใช่เพื่อจัดแจงให้ทุกอย่างกลับมาเป็นแบบที่มันเคยเป็นหรือแบบที่ภาพฝันของเราวาดไว้ แต่เพื่อได้เผชิญหน้ากับมันเพื่อให้เราในวันนี้รู้ว่าตัวเราไม่ใช่เราในวันวานแล้ว และว่าความรักนั้นไม่จำเป็นต้องคงอยู่ในรูปแบบใดรูปแบบเดียวไปตลอดชีวิต มันเปลี่ยนผันตามไปได้ตามวันเวลา ประสบการณ์ และสถานการณ์ ณ ขณะรัก

ย่าซูหนี่ว์: หน้ากากบุคลิกภาพที่สวมทับตัวตนเปราะบาง

สำหรับคนในกลุ่มแล้ว คุณย่าซูหนี่ว์เป็นคน ‘ใจแคบ อวดเบ่ง’ ตามคำนิยามของย่าสือหยวน เป็นคนปากเสียที่ชอบพูดจาหักหาญน้ำใจ เป็นคนจู้จี้ขี้บ่นเรื่องมาก ที่ติดสอยห้อยตามมาเที่ยวไถตงแบบที่ไม่ได้นัดหมายกับคนอื่นๆ แต่อาศัยจากการล้วงเอาข้อมูลจากคุณย่าซู่อิงผู้ใจดีของข่ายถิง ส่วนในสายตาข่ายถิง (ที่จริงๆ ก็รับเอาความคิดนั้นมาจากเหล่าย่าๆ คนอื่นอีกที) เป็นคนรักสวยรักงาม ทำหัตถการหน้าตลอดเวลาทำให้หน้าตึงจนดูตลกอยู่เสมอ พยายามโกยนมที่หย่อนยานให้ขึ้นมาเป็นทรงสวยงามแม้จะฝืนสังขาร

แต่คำบรรยายความเป็น ‘ย่าซูหนี่ว์’ ข้างต้น อาจเป็นสิ่งที่คนอื่นมองย่าซูหนี่ว์ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอคติก็ได้ ที่จริงการรักสวยรักงามของย่าซูหนี่ว์ก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่อาจจะผิดไปจากค่านิยมที่ว่าแก่แล้วก็ควรยอมรับสังขาร เลยทำให้สายตาของคนอื่นๆ ที่มองดูย่าซูหนี่ว์เต็มไปด้วยอคติจนพาลไม่ชอบทุกอย่างที่เป็นซูหนี่ว์ไปด้วย และบางตัวตนในคำนิยามนั้นก็อาจเป็นผลพวงที่เกิดจากการไม่ถูกยอมรับในสิ่งที่ย่าซูหนี่ว์เป็นตั้งแต่แรกจนทำให้เธอต้องสร้างหน้ากากแห่งบุคลิกภาพเพื่อปิดบังตัวตนอันเปราะบางและโดดเดี่ยวของเธอ  

ในระหว่างทริป ย่าสือหยวนกับย่าซูหนี่ว์ผิดใจกันจนทะเลาะกันใหญ่โตและทำให้ย่าสือหยวนพลั้งปากบอกย่าซูหนี่ว์ไปว่า ‘พวกฉันไม่มีใครชอบเธอเลย’ จนทำให้ย่าซูหนี่ว์หนีหายตัวไป ที่จริงเรื่องที่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็เกิดจากการที่ย่าซูหนี่ว์ออกปากเตือนเรื่องท่าทีสนิทสนมกันมากไปของย่าสือหยวนกับอดีตคนรักจนอาจจะดูไม่งาม แต่เพราะมุมมองของย่าสือหยวนที่มีต่อย่าซูหนี่ว์ไม่ดีอยู่แล้ว การเตือนด้วยความหวังดีในแบบของย่าซูหนี่ว์จึงกลายเป็นความจุ้นจ้านน่ารำคาญไป 

“เราต่างรู้ดีว่าความเหงามันน่ากลัวแค่ไหน”

คุณย่าซู่อิงพูดขึ้นเมื่อย่าสือหยวนแสดงท่าทีไม่ยอมลดราวาศอกและพูดประชดประชันว่าดีแล้วที่ย่าซูหนี่ว์ไปให้พ้นๆ ได้ ทั้งที่จริงทุกคนต่างรู้ดีว่าท่าทีหยิ่งผยองอวดเบ่งของคุณย่าซูหนี่ว์นั้นก็แค่เกราะที่ย่าซูหนี่ว์สวมปกปิดตัวตนของการเป็นซูหนี่ว์ผู้จืดจางในบ้าน เธอห่างเหินจากลูกชายและลูกสะใภ้ และถูกคนในครอบครัวมองข้ามกระทั่งถ้าหายตัวไปก็คงไม่มีใครสนใจ และแก๊งคุณย่าก็เป็นพื้นที่เดียวที่คุณย่าซูหนี่ว์พอมีตัวตน

เมื่อเด็กหญิงข่ายถิงได้ฟังคำพูดของย่าซู่อิงจึงเก็บเอามาคิดด้วยว่าเพราะอะไรย่าซูหนี่ว์จึงทำตัวเย่อหยิ่งอวดเบ่ง เธอนึกถึงใบหน้าตึงฟิลเลอร์ของย่าซูหนี่ว์และท่าทีของคนสูงอายุที่พยายามฝืนสังขารแล้วก็นึกตลก แต่เมื่อนึกตลก ข่ายถิงก็นึกได้ว่าแม้แต่ตัวเองยังตลก คนอื่นๆ ก็คงตลกเหมือนกัน และหากคนอื่นๆ ตลก ย่าซูหนี่ว์ก็คงดูออกด้วยว่าคนอื่นๆ มองตัวเองอย่างไร ท่าที่เย่อหยิ่ง อวดเบ่ง ไม่แคร์ใครของย่าซูหนี่ว์อาจมาจากการพยายามกลบความเสียใจที่ถูกคนอื่นมองด้วยสายตาหัวเราะเยาะก็ได้ ยิ่งพอนำไปเปรียบเทียบกับตัวเองที่เพิ่งจะมีหน้าอกขึ้นมาแล้วโดนเพื่อนผู้ชายในห้องล้อเลียน ข่ายถิงในวัยกำลังโตและเริ่มต้องการการยอมรับจากคนอื่นๆ ก็ยิ่งเข้าใจย่าซูหนี่ว์ และเข้าใจด้วยว่าบางครั้งยิ่งเราพยายามทำให้คนอื่นยอมรับเราเท่าไร เรากลับยิ่งผลักไสคนอื่นมากเท่านั้น

“แม้เราสองคนจะไม่ชอบหน้ากัน แต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราก็สามารถเรียนรู้ที่จะชอบสิ่งดีๆ ของอีกฝ่ายได้ ไม่แน่ว่าทะเลาะกันบ่อยๆ เราอาจจะมีชีวิตที่สนุกกว่าเดิม สมองก็จะได้ไม่เสื่อมด้วย”

ย่าสือหยวนบอกกับย่าซูหนี่ว์หลังจากทั้งสองปรับความเข้าใจกัน จะบอกว่านับแต่นี้ไปย่าสือหยวนและย่าซูหนี่ว์จะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและเลิกค่อนขอดกระแนะกระแหนกันก็คงจะเป็นการมองโลกในแง่ดีไปสักหน่อย อคติที่ย่าสือหยวนมีต่อย่าซูหนี่ว์อาจจะยังคงมีอยู่ แต่การทะเลาะกันและคืนดีกันครั้งนี้ของคุณย่าก็ทำให้ทั้งคุณย่าเองและข่ายถิงได้เรียนรู้ที่จะมองข้ามอคติที่ตัวเองตั้งไว้และมองทะลุหน้ากากแห่งบุคลิกภาพที่อีกฝ่ายสวมใส่เพื่อเข้าอกเข้าใจคนอื่นๆ ได้มากขึ้น

ย่าซู่อิง: ตัวตนที่ได้ผลิบานในยามแก่ เมื่อผู้หญิงหลุดพ้นกรอบแม่และเมีย

บ้านของข่ายถิงต่างแตกตื่นเมื่อพบว่าแม่และลูกสาวหายตัวไปจากบ้าน แต่จะบอกว่านั่นเป็นการหายตัวไปก็ไม่ถูกนัก เพราะคุณย่าเคยพยายามจะบอกครอบครัวเรื่องการไปเที่ยวไถตงกับเพื่อนๆ ถึงสองครั้ง ทว่าไม่มีใครสนใจฟังสิ่งที่คุณย่าพูด

ตัวตนของคุณย่าซู่อิงในบ้านนั้นไม่แตกต่างกับย่าซูหนี่ว์นัก จืดจางพอๆ กัน เพียงแต่ขณะที่ย่าซูหนี่ว์ถูกมองข้ามเพราะจุกจิกจนเข้ากับลูกชายและลูกสะใภ้ไม่ได้ ย่าซู่อิงกลับถูกมองข้ามเพราะเธอใจดีเกินไป

คุณย่าซู่อิงในสายตาของหลานวัยสิบขวบครึ่งอย่างข่ายถิงคือหญิงชราผู้อ่อนแอ ขี้กลัว ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่มีข้อดีคือทำอาหารอร่อยและไม่ถือโทษโกรธใคร กลับกันกับคุณปู่ของข่ายถิงที่เรียกว่าเป็น ‘ชายแทร่’ ตามนิยามชาวเน็ตก็ไม่ผิดนัก คุณปู่มักจะวางอำนาจกับคุณย่า ออกคำสั่งให้คุณย่าทำงานบ้าน และบทบาทแม่บ้านของคุณย่าก็ยังดำเนินต่อไปแม้แต่กับลูกหรือหลาน ตัวตนของคุณย่าจึงเป็นได้เพียงแม่และเมียของคนในบ้านเท่านั้น ส่วน ‘ซู่อิง’ ในฐานะ ‘ซู่อิง’ จะเป็นอะไร ก็ไม่มีใครสนใจ เว้นแต่ข่ายถิงเท่านั้น

อาจเพราะอยู่กับหลานแล้วคุณย่าได้เป็นตัวของตัวเอง แม้จะต้องทำอาหารให้หลานก็ด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่เพราะเป็น ‘หน้าที่’ เด็กหญิงจึงบอกว่าเธอมีคุณย่าสองคน คนหนึ่งคือคุณย่าที่อยู่ต่อหน้าคนอื่น อีกคนคือคุณย่าที่อยู่ต่อหน้าเธอ

ที่ผ่านมา เด็กหญิงวัยสิบขวบครึ่งที่โตมาในโลกยุคใหม่ที่มีการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศต่างก็หงุดหงิดคุณย่าตัวเองอยู่เสมอว่าทำไมยอมให้ปู่กระทำแบบนั้น ทำไมไม่สู้เพื่อตัวเองบ้าง แต่เธออาจลืมไปว่าย่าซู่อิงนั้นเติบโตมาในโลกที่เธอต้องเป็นช้างเท้าหลังคอยรับคับสั่งและปรนนิบัติสามีโดยห้ามตั้งคำถาม ย่าไม่เคยมีโอกาสได้รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นอะไรได้อีกนอกจากเป็นเมีย เป็นแม่ เป็นแม่บ้าน ความมั่นใจรวมถึงตัวตนด้านอื่นของคุณย่าจึงมีโอกาสได้ผลิบานชั่วครูยามเมื่ออยู่ต่อหน้าหลานสาว และหุบลงทันทีเมื่ออยู่กับคนอื่นๆ

กระทั่งทริปไถตง ทริปที่ข่ายถิงบรรยายว่าพวกคุณย่าพออยู่ด้วยกันก็เป็นเหมือนเด็กสาว คุยกันเซ็งแซ่เหมือนนกแตกรังนั่นเองที่คุณย่ารู้ว่าเธอเป็นอย่างอื่นได้ มันอาจเริ่มจากใครสักคนที่กล้ายืนหยัดเพื่อเธออย่างที่ข่ายถิงยืนหยัดเพื่อย่าเมื่อตอนที่ทางบ้านโทรมาเคล้าเสียงตะโกนด่าของคุณปู่ว่าย่าแอบไปไหน ข่ายถิงก็รับโทรศัพท์แทนคุณย่าแถมยังตำหนิครอบครัวให้ด้วย

การก้าวเข้ามายืนหยัดเพื่อคุณย่าของข่ายถิงนั้นทำให้ตัวตนของย่าซู่อิงค่อยๆ ผลิบานขึ้น เราจะได้เห็นว่าตลอดทั้งเรื่องนั้น บทบาทของย่าซู่อิงจะค่อยๆ มีมากขึ้นเรื่อยๆ และเอาเข้าจริงเธอก็กล้าตัดสินใจ เป็นที่ปรึกษาให้คณะเพื่อน และเด็ดเดี่ยวไม่แพ้คุณย่าสือหยวนเลย ที่จริงพอตัวตนของ ‘ซู่อิง’ ที่ไม่ต้องยึดติดกับบทบาทในโลกของชายเป็นใหญ่เริ่มผลิบานขึ้นเรื่อยๆ คุณย่าก็กล้าหาญถึงขั้นรับสายก่นด่าของคุณปู่ สวนกลับปู่ด้วยคำต่อว่าที่ปู่ใช้ว่าย่ามาตลอด และถึงกับประกาศว่าถ้าปู่สั่งให้ย่าทิ้งชุดบิกินีละก็ ย่าจะหย่ากับคุณปู่

“ย่าจะไม่ทำตัวต่ำต้อยอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าย่าจะต้องเอาบิกินีตัวนี้ให้ได้ ยังไม่แน่ว่าวันหลังจะมีโอกาสใส่อีกหรือเปล่า เพียงแต่ว่ามันคือของชิ้นแรกที่ย่าซื้อให้ตัวเอง”

คุณย่าบอกข่ายถิงเมื่อหลานสาวถามว่าทำไมย่าจึงต้องสู้เพื่อบิกีนีจนยอมแตกหักกับคุณปู่

สำหรับย่าซู่อิงแล้ว บิกีนีตัวนี้อาจเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของตัวตนที่เธอเพิ่งมีโอกาสได้ค้นพบ ตัวตนของซู่อิงในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งที่มีค่าได้โดยไม่จำเป็นต้องมีบทบาทของแม่หรือเมียมาตีกรอบ เธอค้นพบว่าต่อให้ตัดบทบาทเหล่านั้นออกไป เธอก็ยังจะเป็นซู่อิงที่ทำอาหารเป็น ทำงานบ้านได้ และเป็นที่พึ่งพิงให้คนในบ้านได้มากกว่าสามีที่เอาแต่บ่นด้วยซ้ำ และแค่นั้นก็ทำให้เธอมีค่าที่สุดแล้ว

ย่าอาจู: เต้านมที่เป็นมากกว่าเต้านม

การต้องผ่าตัดเต้านมเพราะพบก้อนเนื้อที่อาจเป็นมะเร็งนั้นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดทริปเที่ยวไถตงขึ้น แต่ข่ายถิงที่เพิ่งเริ่มมีหน้าอกกลับไม่เข้าใจว่าพวกคุณย่าจะให้ความสำคัญกับเต้านมมากขนาดนั้นไปทำไม ข่ายถิงไม่ชอบหน้าอกของตัวเองเลยสักนิด เธอถูกเพื่อนๆ ในห้องนำโดยเพื่อนผู้ชายหัวโจกล้อเลียนเรื่องหน้าอกหน้าใจที่เริ่มใหญ่กว่าเด็กคนอื่นๆ ของเธอ แต่ขณะที่เธออยากจะตัดหน้าอกทิ้ง พวกคุณย่ากลับจัดทริปอำลาเต้านม

ถึงกระนั้นเมื่อเห็นว่าคุณย่าอาจูดูเศร้าสร้อยตลอดทั้งทริป ข่ายถิงก็เสนอวิธีที่รับมือกับการสูญเสียด้วยการเขียนจดหมายบอกลาเต้านม เธอได้รับหน้าที่เรียบเรียงเรื่องราวจากปากคุณย่าอาจู และทำให้เธอได้รู้ว่าเต้านมนั้นมีความหมายกับผู้หญิงมากแค่ไหน

พวกคุณย่าต่างพากันเล่าเรื่องมีหน้าอกและประจำเดือนครั้งแรก ที่เปรียบเหมือนสัญลักษณ์ของการเติบโตขึ้นของบรรดาเด็กผู้หญิง มันนำพามาซึ่งอารมณ์อันตื่นเต้น เฝ้ารอ และเหนียมอายเมื่อหน้าอกหน้าใจของตัวเองโตขึ้น ย่าอาจูยังบอกเธอด้วยว่าหน้าอกของย่าไม่ใช่แค่ของย่าเท่านั้น มันมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มันมีส่วนร่วมกับความรักของคุณย่ากับสามี นำมาซึ่งความรู้สึกสุขใจ มันมีส่วนสำคัญในการเป็นสะพานเชื่อมระหว่างลูกและแม่ในวันที่ลูกคุณย่าลืมตาดูโลก นำมาซึ่งความรู้สึกรักสุดหัวใจ มันเป็นตัวกลางเชื่อมต่ออารมณ์ทั้งความชอบ ความสุข ความโกรธ ความรักของคุณย่ากับคนอื่นๆ

หลังจากเขียนจดหมายอำลาเต้านมของคุณย่าอาจูเสร็จ ข่ายถิงยังผุดไอเดียจัดพิธีอำลาเต้านมโดยการให้ทุกคนยืนล้อมเป็นวงกลมที่ชายหาดและเผาจดหมายที่เขียนถึงเต้านม แถมเด็กหญิงยังเสนอให้พวกคุณย่าใส่ชุดบิกีนีกันด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในตอนแรกพวกคุณย่าต่างไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมกับคนวัยเท่านี้ แต่ข่ายถิงกลับไม่ยอม

“มีคุณป้าหลายๆ คนใส่นะ พวกคุณย่าเห็นว่าเขาน่าเกลียดหรือคะ ที่จริงแล้วขายหรือไม่ขายหน้า น่าเกลียดหรือไม่น่าเกลียด อยู่ที่พวกคุณย่าคิดกันเอง”

หากให้ใส่คนเดียวพวกคุณย่าอาจไม่กล้าใส่ แต่ข่ายถิงเชื่อว่า “พลังแห่งกลุ่มกระตุ้นความกล้าได้” ย่าอาจูที่กังวลกับอนาคตเรื่องมะเร็งเต้านมกลับขอบิกีนีที่ต่อให้ตัดเต้านมทิ้งก็ยังใส่ได้อีก ย่าซู่อิงที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองและถูกสามีทำลายความมั่นใจมาตลอดชีวิตก็กล้าที่ใส่บิกีนีที่ถ้าสามีรู้เข้าคงไม่ยอมให้ใส่ ย่าซูหนี่ว์ที่ห่วงสวยและกลัวจะดูน่าเกลียดในสายตาคนอื่นก็กล้าอวดหุ่นและผิวที่อาจเหี่ยวย่นหย่อนยานและมีเนื้อส่วนเกินบ้างในวัยใกล้ 70 ปี

ข่ายถิงไม่ทันรู้ตัวว่าคำพูดที่เธอใช้โน้มน้าวพวกคุณย่าให้ใส่บิกีนี ที่จริงก็ใช้บอกกับตัวเธอเองได้ด้วย จากเรื่องเล่าของข่ายถิง ผู้อ่านจะรับรู้ได้ว่าเธอมีความกังวลเรื่องหน้าอกที่เพิ่งเริ่มโตของตัวเองเสมอ เธอไม่ชอบร่างกายที่ไม่คุ้นเคยของตัวเอง มองว่าสองเนินเล็กๆ ที่เพิ่งโผล่ขึ้นมาเป็นของแปลกประหลาด สูญเสียความมั่นใจเพราะโดนคนอื่นๆ ล้อเลียน แม้จะพยายามบอกว่าไม่แคร์ความเห็นคนอื่นๆ แต่เห็นได้ชัดว่ามันมีผลจนถึงขั้นที่เธออยากตัดเต้านมทิ้งแบบย่าอาจูบ้าง

เพื่อเป็นการขอบคุณข่ายถิงที่ช่วยเสนอวิธีในการบอกลาเต้านมให้ คุณย่าอาจูจึงเสนอซื้อเสื้อชั้นในตัวแรกให้ข่ายถิงด้วย

“คุณป้าอย่างพวกคุณหัวคิดก้าวหน้ามาก ไม่เหมือนผู้ปกครองบางครอบครัวที่คิดแบบผิดๆ พวกเขาคิดว่าเด็กสาวต้อวงรอจนหน้าอกใหญ่โตเต็มที่ก่อนถึงจะต้องใส่เสื้อยกทรง จริงๆ แล้วตอนเริ่มมีหน้าอก เด็กผู้หญิงจะเขินอายและกลัว บางคนรุนแรงถึงกับไม่เชื่อมั่นในตัวเอง”

พนักงานร้านชุดชั้นในบอกกับพวกย่าๆ เมื่อพาข่ายถิงไปเลือกเสื้อชั้นในตัวแรก คุณน้าพนักงานช่วยเลือกเสื้อที่เหมาะสมให้เธอเป็น ‘ชุดหนูน้อยน่ารัก’ และเรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น… ข่ายถิงเริ่มรักร่างกายของตัวเองแล้ว

บางทีการได้เลือกชุดชั้นในตัวแรกอาจเป็นมากกว่าการได้เลือกชุดชั้นในตัวแรก โดยเฉพาะการที่มีพวกคุณย่าคอยช่วยเลือก มีใครสักคนรับรู้ โอบกอดและประคับประคองการเติบโตของข่ายถิง มีที่ทางให้เธอสบายอกสบายใจกับหน้าอกหน้าใจของตัวเอง ในวินาทีที่เธอจ้องมองตัวเองในกระจกขณะลองชุดชั้นใน อาจเป็นวินาทีที่ข่ายถิงได้ทำความรู้จักกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปของตัวเองจริงๆ เป็นครั้งแรก ได้รู้ว่าหน้าอกของเธอไม่ใช่เรื่องประหลาด เพียงแต่ต้องหาสิ่งที่เหมาะสมกับมันอย่างเสื้อชั้นในดีๆ สักตัว วันหนึ่งวันใดเต้านมของข่ายถิงอาจโตขึ้นเรื่อยๆ เธออาจต้องเปลี่ยนขนาดเสื้อชั้นใน เปลี่ยนจากแบบหนูน้อยน่ารักเป็นสาวสวยเซ็กซี่ เป็นชุดชั้นในสำหรับย่ายายที่รองรับเต้านมหย่อนยาน หรือวันหนึ่งเธออาจค้นพบว่าเธอไม่ต้องการเสื้อชั้นในก็ได้ และสิทธิ์ในการเลือกชุดชั้นในนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสบายใจของเธอผู้เดียว ก็อย่างที่เธอบอกพวกคุณย่า

ร่างกายของเรา…

หรือแม้แต่ตัวตนของเรานั้น…

‘ที่จริงแล้วขายหรือไม่ขายหน้า น่าเกลียดหรือไม่น่าเกลียด อยู่ที่พวกคุณย่าคิดกันเอง’


Writer

Avatar photo

ปัญญาพร แจ่มวุฒิปรีชา

อย่ารู้จักเราเลย รู้จักแมวเราดีกว่า

Related Posts