เคยสงสัยไหมว่าทำไมเวลาดูหนังใหม่ล่าสุดของ Marvel แล้วมันถึงดูคุ้น ๆ อยู่เรื่อย หรือทำไมนิทานพื้นบ้านจากโซเวียตรัสเซียถึงมีโครงเรื่องคล้ายกับ The Witcher ขนาดนี้
คำตอบอยู่ในงานวิจัยปี 1928 ของ วลาดิเมียร์ พรอพพ์ (Vladimir Propp) นักคติชนวิทยาชาวรัสเซียที่ค้นพบว่าเรื่องเล่าของมนุษย์ทุกเรื่องมี “กระดูกสันหลัง” ที่เหมือนกันอย่างน่าขนลุก แล้วที่สำคัญกว่านั้น พวกเราเองก็ชอบแบบนี้อย่างช่วยไม่ได้
วลาดิเมียร์ พรอพพ์ นักคติชนวิทยาผู้ถอดรหัสการเล่าเรื่อง
วลาดิเมียร์ ยาคอฟเลวิช พรอพพ์ (Vladimir Yakovlevich Propp; ค.ศ. 1895–1970) นักคติชนวิทยาหนุ่มชาวรัสเซีย คงไม่คิดหรอกว่าการที่เขานั่งวิเคราะห์นิทานพื้นบ้านรัสเซียกว่า 100 เรื่องจะกลายเป็นการค้นพบที่เปลี่ยนโลกการเล่าเรื่อง
คิดดูสิ คนสมัยนั้นยังไม่มี Netflix ไม่มี Marvel ไม่มี Bridgerton แต่ก็ใช้โครงเรื่องแบบเดียวกันกับที่เราดูกันอยู่วันนี้ พรอพพ์ค้นพบว่าไม่ว่านิทานจะมีตัวละครแปลกใหม่แค่ไหน ฉากจะวิจิตรพิสดารแค่ไหน แต่โครงสร้างเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันเสมอ
เขาเรียกสิ่งนี้ว่า “สัณฐานวิทยาของนิทานพื้นบ้าน” (Morphology of the Folktale) ซึ่งฟังดูเป็นวิชาการมาก แต่จริงๆ แล้วมันคือการค้นพบ “สูตรลับแห่งความหลงใหล” ที่ทั้งฮอลลีวูดและ Netflix ก็ยังคงใช้กันอยู่ทุกวันนี้
ทฤษฎีสัณฐานวิทยาของนิทานพื้นบ้านนี้เป็นงานวิจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษานิทานทั่วโลก โดยพรอพพ์ได้วิเคราะห์นิทานพื้นบ้านรัสเซียกว่า 100 เรื่องและค้นพบว่า แม้ตัวละคร รายละเอียด และฉากจะแตกต่างกันไป แต่โครงสร้างของเรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างน่าประหลาดใจ
พรอพพ์สรุปว่า นิทานพื้นบ้านประกอบด้วย “องค์ประกอบ” (Functions) ซึ่งเป็นหน่วยย่อยของเนื้อเรื่องทั้งหมด 31 ขั้นตอน (บางงานวิจัยขยายเป็น 32 ขั้นตอน) ที่จะปรากฏตามลำดับที่ตายตัว เช่น การขาดจากไปของสมาชิกในครอบครัว การสั่งห้าม การละเมิดคำสั่ง การลวงหลอก การทดสอบ การต่อสู้ การชนะ และการแต่งงาน เป็นต้น
ก่อนจะเข้าไปเจาะลึกสูตร 31 ขั้น มาทำความรู้จักกับ “นักแสดงนำ” ทั้ง 7 คนที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนเรื่องราวกับ Propp’s 7 Character Roles
พรอพพ์สรุปว่า แม้ตัวละครในนิทานจะมีชื่อและลักษณะที่แตกต่างกัน แต่สามารถจัดกลุ่มตาม “ขอบเขตของการกระทำ” (Sphere of Action) ได้ 7 ประเภท ซึ่งตัวละครหนึ่งตัวอาจทำหน้าที่ได้หลายบทบาท หรือหลายตัวละครอาจทำหน้าที่ในบทบาทเดียวกัน
ตัวร้าย (The Villain) – ตัวละครตัวนี้ที่ทำให้เรื่องมีความขัดแย้ง ถ้าไม่มีตัวร้ายในเนื้อเรื่องใดแล้วเรื่องนั้นจะเบื่อขนาดไหน ตั้งแต่แม่มดใส่ลูกแก้วเป็นพิษไปจนถึงธานอสที่อยากลบครึ่งนึงของจักรวาล
คนมอบหมายงาน (The Dispatcher) – เป็นคนที่โผล่มาบอกว่า “ไป! ช่วยโลกมาซะ!” อาจเป็นกษัตริย์ที่มอบหมายภารกิจ หรือ Professor Dumbledore ที่ส่งให้ Harry ไปจัดการเรื่องลี้ลับ
ผู้ช่วยตัวเอก (The Magical Helper) – ฮีโร่คนไหนไม่มีเพื่อนช่วย? ไม่ว่าจะเป็นนางฟ้า Godmother ของซินเดอร์เรลลา หรือ Hermione ที่ฉลาดกว่า Harry เป็นไฟ
รางวัลและคนให้รางวัล (The Princess and her Father) – นั่นล่ะ เจ้าหญิงกลายเป็นรางวัล และเป็นเป้าหมายของฮีโร่ที่ต้องไปช่วย และคนที่จะมอบรางวัลจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อของเธอนั่นเอง
คนให้ของขลัง (The Donor) – พระเอกต้องมีไอเทมเท่ๆ สิ! ตั้งแต่ดาบเอ็กซ์คาลิเบอร์ไปจนถึง lightsaber หรือแม้กระทั่งแหวนวิเศษ
ฮีโร่ (The Hero) – ดาราเอกที่เราต้องเชียร์ ตัวจริงที่ทำให้เรื่องดำเนินต่อไป
ฮีโร่ปลอม (The False Hero) – เจ้าคนโกงที่ชอบมาอ้างผลงานคนอื่น เหมือนเพื่อนร่วมงานที่ชอบขโมยไอเดียเราไปเป็นของตัวเอง มันต้องมีแหล่ะมันต้องมี
สูตร 31 ขั้น และบรรดาฟังก์ชันของตัวละคร
พรอพพ์ค้นพบว่านิทานและเรื่องเล่าต่างๆ ทุกเรื่องจะมีขั้นตอนสูงสุด 31 ขั้น โดยไม่จำเป็นต้องมีครบทุกขั้น แต่ถ้ามีก็จะเรียงตามลำดับตามนี้เสมอ เรื่องสั้นอาจมีแค่ 10-15 ขั้น ส่วนนิยายชุดหรือหนังซีรีส์อาจมีครบ 31 ขั้น หรือแม้แต่วนลูปไปเรื่อยๆ ในซีซั่นต่างๆ
ลองอ่านไปแล้วนึกๆ ถึงเรื่องเล่าหรือซีรีส์ที่เราชอบดู
องก์ 1: เปิดเรื่องแบบชิลล์ๆ (แต่โน่น! พายุกำลังจะมา)
สถานการณ์เริ่มต้น (Initial Situation): ทุกอย่างยังสงบสุข เหมือนครอบครัว Skywalker ที่ยังอยู่กันครบถ้วน หรือ Harry ที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นพ่อมด
มีคนหายไป! (Absentation): คนสำคัญในครอบครัวต้องไปที่ไหนสักแห่ง พ่อไปทำงานไกล แม่ไปเที่ยว หรือถ้าเป็นใน Star Wars คือลูคต้องไปหาเจ้าหญิงเลอาห์ หรือใน Lord of the Ring ก็คือ Gandalf หายไปตัวไป
ห้ามทำนะ! (Interdiction): ก่อนไปมักจะมีคำเตือน “ห้ามเข้าห้องนั้น” “ห้ามไปป่าคนเดียว” “ห้ามใช้พลังมืด” “ห้ามใช้เวทมนตร์นอกโรงเรียน” “ห้ามไปป่าต้องห้าม” “ห้ามไปชั้น 3 ทางขวา” “ห้ามใส่แหวน!” “ห้ามบอกใครเรื่องแหวน!” ห้ามๆๆๆๆ แต่
แต่ก็ทำอยู่ดี! (Violation) – และแน่นอน กฎมีไว้ให้ฝ่าฝืน! เจ้าหญิงเปิดห้องต้องห้าม ลูค ก็ตามไป แม้จะได้รับคำเตือน แฮร์รี่ก็ฝ่าฝืนกฎอยู่เรื่อย! ไปป่าต้องห้าม ไปห้องที่ซ่อนศิลาอาถรรพ์ ไปห้องแห่งความลับ และแน่นอน โฟรโดร์ใส่แหวนและออกเดินทาง
ตัวร้ายมาสอดแนม (Reconnaissance): มาดูข้อมูลเหยื่อก่อนลงมือ Black Riders มาขี่ม้าตระเวนหาโฟรโดร์ โวลโดมอร์ก็ส่งคนมาสอดแนมแฮรรี่
ข้อมูลรั่ว (Delivery): ตัวร้ายได้ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ก็ส่งคนมาสอดแนมแล้วนิ
มายา (Trickery): ตัวร้ายเริ่มหลอกล่อ ปลอมตัวเป็นคนดี หรือใช้กลอุบายต่างๆ เพื่อหลอกล่อ เช่น Tom Riddle ปลอมตัวในไดอารี่
หลงกล (Complicity): เหยื่อหลงเชื่อและช่วยเหลือศัตรูโดยไม่รู้ตัว โอ๊ย ความผิดพลาดอันแสนจะคลาสสิก! แฮรี่หลงเชื่อและช่วยเหลือคนร้ายโดยไม่รู้ตัว ชาวบ้านชี้ทางให้ข้อมูลไปแบบคลาสสิกสุดๆ
องก์ 2: เรื่องเริ่มร้อนแรง (Real Shit Happens)
เกิดเหตุร้าย/ขาดอะไรไป (Villainy or Lack):จุดเปลี่ยนใหญ่! เจ้าหญิงถูกลักพาตัว Death Star ทำลาย Alderaan หรือ โวลโดมอร์เป็นคนฆ่าพ่อแม่แฮรี่
มีคนมาบอก (Mediation): “ฮีโร่เอ๋ย ช่วยเราด้วย!” เจ้าหญิงเลอาห์ ส่งข้อความมาหาโอบี-วัน “โฟร์โด เอ๋ย แหวนนี้คือ One Ring! เธอต้องเอาไปทำลาย!”
ตัดสินใจ (Beginning Counteraction): ฮีโร่ตัดสินใจที่จะทำภารกิจ Frodo ตัดสินใจรับภารกิจ ลูคตัดสินใจออกเดินทาง แฮรี่ออกไปช่วยเพื่อน
ออกเดินทาง (Departure): ลาบ้าน ออกผจญภัย!
องก์ 3: เพิ่มพลังเตรียมตัวก่อนสู้รบ (Power-Up Time)
เจอผู้ทดสอบ (Donor’s Function): มีคนมาทดสอบว่าฮีโร่สมควรได้รับความช่วยเหลือหรือไม่ เหมือนโยดาที่มาทดสอบลูค หรือ Elrondที่ทดสอบจิตใจว่าโฟร์โดแข็งแกร่งพอจะแบกแหวนได้หรือไม่
ผ่านการทดสอบ (Hero’s Reaction): ฮีโร่ผ่านการทดสอบ (ส่วนใหญ่จะผ่าน ไม่งั้นเรื่องจะจบ!)
ได้ไอเทมเท่ๆ (Provision or Receipt of a Magical Agent): ลูครับ lightsaber แฮรี่ได้รับไม้กายาสิทธิ์ จาก Ollivander หรือผ้าคลุมล่องหนจากพ่อ
องก์ 4: ไคลแม็กซ์แบบจัดหนัก (The Big Show)
เดินทางไปหาศัตรู (Guidance): ลูคมุ่งหน้าไป Death Star, โฟร์โด ไป Mordor, แฮรี่ก็ต้องไป Hogwarts
ดวลแบบซักคาน (Struggle): ฮีโร่ปะทะตัวร้ายแบบจัดเต็ม! Luke vs Vader, Harry vs Voldemort
ได้รับบาดแผล (Branding): ฮีโร่ต้องได้รับบาดแผลหรือสัญลักษณ์บางอย่าง เหมือนแผลเป็นรูปฟ้าผ่าของแฮรี่ หรือ โฟร์โด สูญเสียนิ้วหลังจากกอลลัมกัดขาด และบาดเจ็บทางจิตใจจากแหวน
ชนะสิ! (Liquidation of Misfortune or Lack): ตัวร้ายพ่ายแพ้ Death Star ระเบิด Voldemort ตาย Sauron หายตัวไป
ปัญหาถูกแก้แล้ว : ภารกิจสำเร็จ เจ้าหญิงรอด โลกปลอดภัย
กลับบ้าน (Return): ได้เวลากลับไปอวดชาวบ้านแล้ว!
องก์ 5: Happy Ending แต่ไม่ง่ายนัก (The Victory Lap)
ถูกไล่ล่า (Pursuit): มังกรตายแล้วแต่ลูกน้องยังตามมา พอโฟร์โดกลับถึง Shire ปรากฏว่าซารูมานและลูกน้องมายึดครอง Shire ไว้แล้ว!
รอดพ้น (Rescue): ฮีโร่หนีรอด ซ่อนตัวได้
กลับมาแบบไม่มีใครจำได้ (Unrecognized Arrival): เหมือนเด็กที่เอาถ้วยรางวัลกลับบ้านแต่ไม่มีใครเชื่อ เหมือนตอนแรกชาว Shire ไม่รู้ว่า 4 คน ที่เป็นฮอปบิทนี้เป็นวีรบุรุษ
มีคนมาอ้าง (Unfounded Claims): ตัวปลอมโผล่มาอ้างว่าเป็นคนทำ เหมือนเพื่อนร่วมงานที่ขโมยผลงานเรา
ทดสอบอีกครั้ง (Difficult Task): ต้องพิสูจน์ตัวเองอีกรอบ แสดงให้เห็นว่าเป็นฮีโร่ตัวจริง
พิสูจน์ได้ : ทำภารกิจที่ยากให้ดูเป็นการพิสูจน์ โฟร์โดต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการสู้ Saruman และฟื้นฟู Shire
คนจำได้แล้ว (Recognition): ทุกคนยอมรับว่าเป็นฮีโร่ตัวจริง ทุกคนในโลกเวทย์ยอมรับว่า Harry เป็นผู้ชนะ โวลโดมอร์
เปิดโปงคนปลอม(Exposure): ตัวปลอมถูกเปิดโปง อาย!
เปลี่ยนโฉม (Transfiguration): ฮีโร่กลายเป็นคนสวยงาม/หล่อเหลา แฮรี่โตขึ้น หล่อขึ้น (และ Neville ก็หล่อขึ้นด้วย!)
ลงโทษตัวร้าย (Punishment): คนเลวถูกลงโทษ
แต่งงาน/ได้รางวัล (Wedding): Happily ever after! ได้เจ้าหญิง ได้บัลลังก์ ได้เกียรติยศ
ทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าของมนุษย์มีรูปแบบสากลที่เชื่อมโยงกันอย่างน่าทึ่ง และนี่คือ “พิมพ์เขียว” ที่ถูกใช้สร้างสรรค์เรื่องราวมากมายนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ไขความลับกันเถอะว่าเพราะอะไรผ่านมากี่ปีๆ เราก็ยังติดสูตรนี้?
คิดดูสิ ทำไมเราไม่เคยเบื่อเรื่องราวแบบนี้? ทำไม Marvel ถึงทำหนังออกมาเป็นโหลแต่เราก็ยังดูกันอยู่? ทำไมเด็กๆ ถึงอยากให้เล่านิทานซ้ำๆ?
คำตอบคือ สมองเราถูกโปรแกรมมาให้ชอบแบบนี้แล้ว! โครงสร้าง 31 ขั้นนี้ตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์:
- เราอยากเห็นความยุติธรรม (คนดีชนะ คนเลวแพ้)
- เราอยากเห็นการเติบโต (ฮีโร่พัฒนาจากคนธรรมดาเป็นคนพิเศษ)
- เราอยากเห็นความมั่นคง (ทุกอย่างกลับมาสู่ภาวะปกติ)
สูตรเก่าแก่ที่ยังปรุงได้รสอร่อยในโลกยุคใหม่
อย่าคิดว่าสูตรนี้เก่าแล้วนะ! ดูหนัง Marvel ภาคไหนก็เจอ:
Iron Man: Tony Stark (ฮีโร่) → ถูกลักพาตัว (เหตุร้าย) → หนีออกมา (ออกเดินทาง) → สร้างชุด (ได้ไอเทม) → สู้กับ Iron Monger (ดวล) → ชนะ (ชัยชนะ) → เป็น Avenger (รางวัล)
Harry Potter : Harry (ฮีโร่) → รู้ว่าเป็นพ่อมด (เหตุร้าย) → ไป Hogwarts (ออกเดินทาง) → เรียนเวทมนตร์ (ทดสอบ) → สู้กับ Voldemort (ดวล) → ชนะ (ชัยชนะ) → แต่งงานกับ Ginny (รางวัล)
Lord of the Rings : Frodo (ฮีโร่) → ได้แหวนจาก Bilbo (เหตุร้าย) → ออกจาก Shire (ออกเดินทาง) → เข้า Fellowship (ได้เพื่อน) → ไป Mount Doom (ดวล) → ทำลายแหวน (ชัยชนะ) → ไป Undying Lands (รางวัล)
Spider-Man : Peter Parker (ฮีโร่) → ถูกแมงมุมกัด (เหตุร้าย) → Uncle Ben ตาย (ออกเดินทาง) → ฝึกใช้พลัง (ทดสอบ) → สู้ Green Goblin (ดวล) → ช่วยคนได้ (ชัยชนะ) → เป็นฮีโร่ยอดนิยม (รางวัล)
The Lion King : Simba (ฮีโร่) → Mufasa ตาย (เหตุร้าย) → หนีไปอยู่กับ Timon & Pumbaa (ออกเดินทาง) → เรียนรู้ Hakuna Matata (ทดสอบ) → สู้ Scar (ดวล) → ชนะแล้วไล่ Scar (ชัยชนะ) → เป็นกษัตริย์ (รางวัล)
สูตรสั้นๆ: ฮีโร่ธรรมดา → เจอปัญหาใหญ่ → ออกเดินทาง → ได้พลัง/เพื่อน → สู้ตัวร้าย → ชนะ → ได้รางวัล!
แม้กระทั่งเกมส์ก็ใช้สูตรนี้! RPG ส่วนใหญ่จะให้เราเป็นฮีโร่ที่ต้องไปช่วยโลก ระหว่างทางเจอคนให้ไอเทม สู้กับบอสตัวใหญ่ แล้วก็ชนะ
บทสรุป: DNA ที่ทำให้เราเป็นมนุษย์
ทฤษฎี 31 ขั้นของ Vladimir Propp ไม่ใช่แค่การวิเคราะห์นิทานเก่าๆ มันคือการเปิดเผยโค้ดลับในจิตใจมนุษย์ที่ซ่อนอยู่มาตั้งแต่เราเริ่มเล่านิทาน!
เพราะอะไรเรื่องเดียวกันถึงดังได้ตลอดกาล?
ลองนึกดู ตั้งแต่ปี 1928 ที่ Propp วิเคราะห์นิทานรัสเซีย จนถึงปี 2025 ที่เรานั่งดู Marvel, Star Wars, หรือ Harry Potter เราก็ยังคงตื่นเต้นกับโครงเรื่องแบบเดียวกัน
แล้วทำไมเราไม่เบื่อ?
เพราะนั่นคือหัวใจของการเป็นมนุษย์! การเล่าเรื่องไม่ใช่แค่ความบันเทิง แต่เป็นวิธีที่เราใช้ทำความเข้าใจชีวิต สร้างความหวัง และเชื่อมต่อกับคนอื่น
งั้นเรื่องเดาได้หมายถึงเรื่องที่ดีงั้นเหรอ?
ครั้งหน้าที่ดูหนังแล้วรู้สึกว่า “เอ๊ะ ฉันเดาได้แล้วว่าจะจบยังไง” อย่าด่วนโมโห!
นั่นไม่ใช่เพราะเรื่องแย่ แต่เพราะเรื่องนั้นตอบสนองความต้องการพื้นฐานของเราได้ดี เราต้องการความคุ้นเคย ความมั่นคง และความรู้สึกว่าในที่สุดแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
และนั่นก็ไม่มีอะไรผิดเลย!
เพราะในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การได้เห็นเรื่องราวที่มี Happy Ending ก็เหมือนได้วิตามินใจที่ทำให้เราเชื่อว่าชีวิตจริงก็มีความหวังเช่นกัน