- เด็กหญิงผู้ดื่มดวงจันทร์ (The Girl Who Drank the Moon) เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่แต่งโดย Kelly Barnhill
- หนังสือว่าด้วยเรื่องราวของลูน่า เด็กหญิงผู้ดื่มดวงจันทร์และเติบโตท่ามกลางแม่มด ปีศาจหนองน้ำ และมังกรจิ๋ว
- นอกจากจะมีเวทมนตร์ มังกร แม่มด และเรื่องราวแสนมหัศจรรย์มากมายที่วรรณกรรมเยาวชนควรมีแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังชวนให้เรากล้าตั้งคำถาม กล้าเผชิญหน้าอดีต และทำให้เราพบว่าการทำความเข้าใจตัวเองนั้นสำคัญสำหรับการเติบโตแค่ไหน
ใน เมืองโพรเทคเทอเรท ที่ความโศกเศร้ารวมตัวเป็นเมฆหม่นมัวปกคลุมทั่วฟ้า เด็กทารกที่อายุน้อยที่สุดในแต่ละปีจะต้องถูกพรากออกจากอ้อมอกครอบครัวโดยเหล่าผู้อาวุโสของเมือง พวกเขาจะพาทารกไปทิ้งไว้ในป่าเพื่อเป็นเครื่องสังเวยของแม่มดร้าย นี่คือธรรมเนียมปฏิบัติและตำนานที่เล่าสืบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น
ทว่าแท้จริงแล้ว ในป่าลึกไม่ได้มีแม่มดใจร้ายอย่างที่ทุกคนเชื่อแต่มีแม่มดแสนใจดีอย่าง ‘แซน’ ที่จะมาช่วยเด็ก ๆ ไว้ เธอจะคว้าประกายดาวให้เด็ก ๆ ดื่ม และพาพวกเขาไปส่งให้ครอบครัวอุปถัมภ์ที่เมืองฟรีซิตี้ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของป่า
‘เด็กหญิงผู้ดื่มดวงจันทร์ (the Girl Who Drank the Moon)’ วรรณกรรมเยาวชนโดย Kelly Barnhill เริ่มต้นแบบนั้น
ครอบครัว : ความสัมพันธ์ที่ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเรียก
ลูน่า เป็นเด็กอีกคนจากเมืองโพรเทคเทอเรทที่ถูกผู้อาวุโสของเมืองนำมาทิ้งไว้ในป่าตอนแบเบาะ ทีแรกแซนตั้งใจจะพาลูน่าไปส่งให้ครอบครัวอุปถัมภ์เหมือนที่ผ่านมา แต่แล้วในระหว่างเดินทาง แม่มดกลับรู้สึกหลงรักลูน่าจนเผลอไผลคว้าประกายดวงจันทร์ให้ลูน่าดื่มแทนแสงดาว และพลังของดวงจันทร์ก็ทำให้ลูน่ากลายเป็นเด็กที่มีเวทมนตร์
แซนรู้ดีว่าเธอคงไม่สามารถปล่อยเด็กน้อยผู้มีเวทมนตร์แต่ไม่รู้วิธีใช้ออกไปได้ เธอจึงตัดสินใจรับเลี้ยงลูน่าไว้เอง เด็กน้อยได้เจอกับครอบครัวใหม่ ครอบครัวที่นอกจากแม่มดแซนที่เธอเรียกว่า ‘ยาย’ แล้ว สมาชิกที่เหลือนั้นอยู่ร่วมกันอย่างไร้นิยาม
ความสัมพันธ์ไร้ชื่อเรียก คือความอบอุ่นที่รายล้อมรอบตัวลูน่ามาตั้งแต่ยังเด็กจนโต เกลิร์ค ปีศาจหนองน้ำผู้เคยต่อต้านการรับเด็กน้อยมาเลี้ยงก็เปลี่ยนมามอบความรักให้เธอมากเท่าที่ปีศาจตนหนึ่งจะรักเด็กคนหนึ่งได้ ส่วนมังกรน้อย ฟีเรียน นั้น เมื่อตอนที่ลูน่ายังเป็นเด็กเล็ก เขาเหมือนพี่ที่คอยสอนการบ้านน้อง แต่พอลูน่าเริ่มโต เธอกลับรู้สึกว่าฟีเรียนยิ่งดูเด็กลงเรื่อย ๆ ฟีเรียนจึงไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่มีชื่อเรียกให้ตำแหน่งของเขาในครอบครัว เขาเป็นแค่ฟีเรียนของลูน่า แซน และเกิล์ค เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
แผลที่ไม่มีวันหาย
ไม่นานนักแซนก็ได้รู้ว่ายิ่งลูน่ามีพลังเวทมนตร์มากขึ้นเท่าไหร่ ตัวเธอเองก็จะยิ่งอ่อนแอลงเท่านั้น แต่แทนที่จะบอกความจริงกับลูน่า แซนกลับร่ายเวทย์ผนึกพลังของลูน่าไว้จนกว่าเธอจะอายุ 13 และค่อย ๆ หลอกตัวเองว่าพลังของลูน่านั้นหายไปแล้ว เธอกับลูน่าจะได้อยู่ด้วยกันไปอีกแสนนาน
“ความเศร้าเป็นสิ่งที่อันตราย หรืออย่างน้อยก็เคยเป็นแบบนั้น ตอนนี้ฉันก็จำไม่ได้แล้วว่าทำไม ฉันว่าเราทั้งคู่คุ้นชินกับการไม่จดจำไปแล้วละ เราก็แค่ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ… พร่ามัว”
เธอบอกกับเกลิร์คตอนที่หาหนทางแก้ไขปัญหานี้และคลับคล้ายคลับคลาว่าบางสิ่งที่เธอไม่อยากจำอาจให้คำตอบเธอได้ ตลอดอายุหลายร้อยปีที่ผ่านมา แซนเคยแสร้งลืมเรื่องราวในอดีตของตัวเองเพราะเหตุการณ์เลวร้ายมากมายได้เกิดขึ้นกับเธอเมื่อครั้งยังเยาว์ บางครั้งและหลายครั้งมนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ เราถมทับแผลใจในอดีต และหลอกตัวเองว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น ทว่านั่นเป็นเพียงกลไกการหลีกหนีความจริงที่นอกจากจะไม่ทำให้เราได้เรียนรู้แล้ว แผลที่เราไม่ยอมรักษาให้หายยังสามารถย้อนกลับมาทำให้เราเจ็บได้อีกหน ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
เมืองหม่นมัวและผู้คนที่กลัวการตั้งคำถาม
ชาวเมืองโพรเทคเทอเรทไม่เคยคิดสงสัย ไม่คัดค้าน ไม่ตั้งคำถามว่าแม่มดชั่วร้ายมีจริงหรือไม่ พวกเขาเพียงแต่ก้มหน้ารับชะตากรรม มีเพียง ‘แอนเธน’ หลานชายของผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น ที่เริ่มตั้งคำถามว่าการนำทารกไปเป็นเครื่องสังเวยนั้นอาจเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง และไม่จำเป็นต้องทำ
ในเมืองนี้ กลุ่มผู้อาวุโสคือกลุ่มคนที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่า และชีวิตที่ดีกว่าคนอื่น ๆ แม่ของแอนเธนจึงหมายมั่นปั้นมือว่าลูกของเธอจะต้องเอาอย่าง เกอร์แลนด์ ผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งเป็นลุงของแอนเธนให้ได้ ทว่าการตั้งคำถาม และความสงสัยใคร่รู้ กอปรกับความรู้สึกคัดค้านการสังเวยเด็ก ทำให้แอนเธนไม่เป็นที่ถูกตาต้องใจของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รวมถึงลุงและแม่ของเขาเองด้วย แอนเธนต้องเผชิญคำด่าทอต่อว่า และการตั้งคำถามยังทำให้เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเขา จนท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เป็นผู้อาวุโสตามที่แม่และลุงต้องการ
แอนเธนพยายามลบลืมเรื่องราวช่วงนั้นแล้วใช้ชีวิตในฐานะช่างไม้ผู้เรียบง่าย จนเมื่อเขาแต่งงาน และมีลูกที่กลายเป็นทารกที่อายุน้อยที่สุดในปีนั้น เขาจึงมีบางสิ่งที่ต้องปกป้อง และมีเหตุผลมากพอที่จะออกตามล่า ‘แม่มด’ ซึ่งนำพาเขาไปสู่คำตอบที่เคยสงสัยและความลับที่แท้จริงเบื้องหลังพิธีกรรมของเมือง
เติบโต…ในจังหวะที่แตกต่าง
แอนเธนใช้เวลาอยู่หลายปีกว่าจะกล้าเอ่ยปากกับบรรดาผู้อาวุโสว่าเขาไม่เห็นด้วยกับประเพณีดั้งเดิมที่ต้องเอาเด็กไปสังเวยให้แม่มด
ในวันที่เวทมนตร์ในตัวลูน่าปะทุออกมาเมื่อเธออายุ 13 ปี วันที่แซนอ่อนกำลังเกินกว่าจะสอนให้ลูน่ารู้จักเวทมนตร์ เด็กหญิงใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการทำความคุ้นเคยกับพลังที่เธอไม่เคยคุ้น และไม่นานเธอก็สามารถเรียนรู้มันได้ด้วยตัวเอง
แต่ใครบางคนกว่าจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงและพร้อมเติบโตได้ก็อาจต้องการทั้งเวลาที่นานแสนนานและใครสักคนที่จะอยู่ข้าง ๆ เขา
ที่จริงฟีเรียนไม่ได้เป็นลูกมังกรที่ลืมตาดูโลกได้ไม่กี่ปี เขาอยู่บนโลกนี้มาหลายร้อยปีแทบจะเท่ากับแซน แต่เพราะวัยเด็กอันขมขื่น ทั้งร่างกายและจิตใจของฟีเรียนจึงไม่พร้อมจะเติบโต
แต่แล้วเมื่อเวลาอันเหมาะสมมาถึงในสถานการณ์เร่งเร้าที่การเติบโตเป็นเรื่องจำเป็น ฟีเรียนก็ตัวโตขึ้นกะทันหัน เจ้ามังกรตกใจและกระวนกระวายกับความเปลี่ยนแปลงฉุกละหุกที่เขาไม่ทันรับมือนี้
“ฉันก็ไม่รู้ ฟีเรียนที่รัก ที่ฉันรู้คือฉันจะอยู่ที่นี่กับเธอ ที่ฉันรู้คือช่องว่างระหว่างความรู้ของเราจะเปิดเผย และถูกเติมเต็มในอีกไม่นาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ที่ฉันรู้คือเธอเป็นเพื่อนของฉันและฉันจะอยู่เคียงข้างเธอในทุกการเปลี่ยนผ่านและทุกความลำบาก”
คือสิ่งที่เกลิร์คบอกเขา และเพียงการยืนยันว่าไม่ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เขาจะยังมีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ เสมอ ก็ทำให้ฟีเรียนรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่ประวิงเวลามาเนิ่นนานได้ดีพอที่จะกลายเป็นมังกรตัวใหญ่อย่างสง่างาม
รักษาแผลใจ เผชิญหน้าอดีต และก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
ในป่าใหญ่ แอนเธนได้คำตอบเรื่องแม่มดร้ายที่เขาเฝ้าสงสัยมาตั้งแต่เด็กเมื่อเขากล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัว
ตัวของฟีเรียนขยายใหญ่และจิตใจก็เติบโตขึ้นจนเขากลายเป็นมังกรผู้เปี่ยมด้วยพลังเมื่อได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาในอดีต
ท้องฟ้าของเมืองโพรเทคเทอเรทปลอดโปร่งสดใส ไร้ความเศร้าโศกและเต็มไปด้วยความหวังอีกครั้งเมื่อชาวเมืองเลิกแสร้งลืมไปว่ามีทารกกี่คนโดนพรากจากครอบครัวเพียงเพราะธรรมเนียมที่พวกเขาไม่เคยตั้งคำถาม
แซนจากโลกนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดร์อย่างสงบและสง่างามเมื่อเธอโอบกอดอดีต รักษาแผลใจ และยอมรับได้ว่าลูน่าเติบโตขึ้นและพร้อมจะเผชิญโลกกว้างใหญ่ด้วยตัวเองแล้ว
หลังจากพยายามหาคำตอบและพยายามทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่เวทมนตร์ซึ่งถูกปิดผนึกไว้เริ่มปะทุออกมาจากร่างกายและหลังจากต้องออกเดินทางและล้มลุกคลุกคลานในป่าใหญ่ และแล้วลูน่าก็ได้พบวิธีควบคุมพลังเวทมนตร์ เรียนรู้ และทำความเข้าใจตัวตนของเธอเอง จนพร้อมจะเติบโตและก้าวต่อไป แม้ไม่มีแซนแล้วก็ตาม