แม้ในชีวิตจริงจะไม่มีพรวิเศษใด ที่ทำให้เราได้ย้อนเวลากลับไปยังอดีต หรือพาเรานั่งไทม์แมชชีนไปยังอนาคตได้ แต่บางครั้งชีวิตปัจจุบันที่ดำเนินไปอยู่นี้ มันก็น่าเศร้า คาดเดาไม่ได้ และมีความสุขน้อยกว่าที่คาดหวัง
นี่แหละ เหตุผลที่จะกี่ยุค กี่สมัย หนังหรือซีรีส์แนวย้อนเวลากลับไปตอนเยาว์วัย หรือข้ามเวลาไปยังอนาคตที่เราเติบใหญ่ ถึงขายได้ตลอดกาล เพราะมันทำหน้าที่คอยสอนและปลอบประโลมใจผู้คนได้อย่างดีว่า ชีวิตจริงไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรที่ผ่านมาแล้วได้ หรือล่วงรู้ชีวิตในวันข้างหน้าก่อนเขาก่อนใครได้ สิ่งที่เราทำได้ในวันนี้อาจเป็นการทำทุกวันให้ดีที่สุดและพิเศษเหมือนวันสุดท้าย ไม่หลงลืมชีวิตในวันนี้ ไม่จมปลักกับอดีต หรือเครียดกับอนาคตที่ยังไม่ถึง เพราะ ‘ปัจจุบัน’ ก็สำคัญ และเป็นสิ่งที่เราสามารถกำหนดได้มากที่สุดแล้ว
ในปี 2004 มีหนังรอมคอมเรื่องหนึ่งที่เราชอบมากๆ และเชื่อว่าหลายคนคงรักเรื่องนี้ไม่แพ้กับเรา นั่นคือเรื่อง ‘13 Going on 30’ นำแสดงโดยนักแสดงสาวในตำนาน Jennifer Garner และ Mark Ruffalo (สมัยที่ยังไม่กลายร่างเป็น Hulk) ที่เล่าเรื่องราวของ เจนน่า เด็กผู้หญิงวัย 13 ปี ที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่สนุกกับชีวิต และขวนขวายที่จะได้รับการยอมรับจากแก๊งสาวป๊อปในโรงเรียน แม้เธอจะมีเพื่อนสนิทที่รักในตัวตนของเธออยู่แล้วอย่าง แมตต์ ก็ตาม ในวันเกิดปีที่ 13 เธอถูกแก๊งเด็กสาวกลั่นแกล้งจนเศร้าโศกเสียใจ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ได้รับพรวิเศษที่พาเธอข้ามเวลาไปอยู่ในวัย 30 ปี และได้กลายเป็นสาวสวยสุดฮอตแบบที่เธอต้องการมาตลอด ทว่า สิ่งที่เจนน่าได้เรียนรู้และผู้ชมได้เรียนรู้ไปพร้อมกันก็คือ แม้ว่าเราจะมีทุกอย่างแบบที่ใจเราฝันถึง เราก็อาจไม่ได้มีความสุขอย่างที่คิด หากสิ่งที่ทะเยอทะยานให้ไปถึงในอนาคตนั้น ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง ซึ่งการโฟกัสแต่อนาคตแบบนั้นก็มีส่วนทำให้เรา ‘พลาด’ ความสุขในปัจจุบันที่สร้างได้ในตอนนี้
จากที่ถามตัวเองว่า ฉันจะมีความสุขกี่โมง? โมงยามนั้นอาจจะมาไม่ถึง ถ้าเราไม่ยอมสร้างความสุขขึ้นมาตั้งแต่ตอนนี้ หรือเลือกทิ้งสิ่งที่เรียกว่าความสุขนั้นไป เพราะคิดว่าในอนาคตจะมีความสุขมากกว่า แม้จะไม่มีอะไรการันตีได้เลย เหมือนกับเจนน่าที่เธอได้ล่วงรู้ว่า ในวัย 30 ปีของเธอ เธอจะห่างเหินกับแมตต์เพื่อนรักคนเดียวของเธอไป หรือเธอจะกลายเป็นผู้หญิงในแบบที่เธอไม่ชอบ หากเธอยังพยายามที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นคนดัง แม้จะแลกมากับการทำร้ายคนอื่นมากมาย หรือกลายเป็นนังตัวแสบที่ทำให้ชีวิตคนอื่นพังมานักต่อนัก เพื่อให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น จนถึงการสูญเสียแมตต์ไปให้ผู้หญิงคนอื่น เมื่อเธอรู้ว่า เขาคือรักแท้ของเธอตอนที่สายไปแล้ว
สุดท้าย หนังก็พาเจนน่ากลับมายังปัจจุบันในช่วงท้าย เพื่อสอนให้เธอได้เห็นถึงความสำคัญของความเป็นปัจจุบันที่เราไม่ควรหลงลืมคนรอบข้างที่รักเรา และไม่หลงลืมคุณค่าในตัวเองที่ไม่ควรขึ้นอยู่กับใคร เพราะการเห็นคุณค่าในตัวเอง และการเชื่อว่าเราสมควรที่จะได้รับความสุขในทุกๆ วัน นี่แหละที่จะทำให้เรามีความสุขได้เลย โดยไม่ต้องรอ
พล็อตที่เล่นกับเส้นเวลา ซื้อใจเราได้เสมอ ถัดจาก ‘13 Going on 30’ เรายังชอบพล็อตของซีรีส์เกาหลีเรื่อง ‘18 Again’ ที่รีเมคมาจากหนังวัยรุ่นอเมริกา ‘17 Again’ ที่นำแสดงโดย Zac Efron แต่เวอร์ชั่นเกาหลีนี้ นำแสดงโดยพระเอกในดวงใจของเรา อีโดฮยอน และนางเอกสาว คิมฮานึล ซึ่งคราวนี้ไม่ได้ข้ามเวลาไปอนาคต แต่เป็นการย้อนอดีตไปยังวัย 18 ปีที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปยังวัยผู้ใหญ่ ซีรีส์เล่าถึง ฮงแดยอง ชายวัย 37 ปี ที่ท้อแท้กับปัญหาชีวิต ทั้งเรื่องหน้าที่การงานและเรื่องความรัก ที่เขาและภรรยากำลังจะหย่าร้างกัน ขณะที่ปัญหาชีวิตถาโถมเข้ามาให้ปวดหัว เขาได้คิดทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ว่าทำไมปัจจุบันถึงเป็นแบบนี้ จนพบว่า จุดพลิกผันของชีวิตน่าจะอยู่ช่วงอายุ 18 ปี ในวัยที่เขาเป็นนักกีฬาบาสเกตบอล และตั้งใจจะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของเกาหลีใต้ ทว่า ช่วงที่กำลังจะไปได้สวย จองดาจอง แฟนสาวของเขาก็ตั้งครรภ์ ทำให้ทั้งคู่กลายเป็นคุณพ่อ คุณแม่ โดยที่ยังไม่พร้อม และทิ้งความฝันทั้งหมด เพื่อมาเลี้ยงลูก
ฮงแดยอง วัยผู้ใหญ่ ได้พรวิเศษที่ทำให้อยู่ดีๆ เขาก็ได้กลายเป็นหนุ่มวัย 18 ปีอีกครั้ง และทำให้เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตใหม่นี้ โดยทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้ แต่แม้เขาจะได้กลับไปวัย 18 ปี ทว่าคนรอบตัวก็ยังอยู่ในวัยเดิม เขาได้เห็นชีวิตยากๆ ของจองดาจอง ที่การเป็นผู้หญิงที่มีลูกเร็วในสังคมเกาหลีใต้ ทำให้เธอถูกดูหมิ่น และเสียโอกาสไปนักต่อนัก แต่เธอในวัยผู้ใหญ่ ไม่ยอมแพ้ในความฝัน เมื่อลูกโตพอที่จะใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้ว เธอจึงขอกลับมาทำตามความฝัน ตั้งใจจะเป็นผู้ประกาศข่าว ที่อายุเยอะกว่าใครเขา แต่มีความสามารถโดดเด่นที่สุด เธอต้องต่อสู้กับเส้นทางนี้ท่ามกลางการถูกโจมตีเรื่องมีลูกตั้งแต่มัธยมปลาย ไปพร้อมๆ กับ การตัดสินความเป็นหญิงผ่านอายุที่เพิ่มขึ้น
18 Again ฉายภาพความคอนทราสต์กันของสามี ภรรยา คู่นี้ ที่คนหนึ่งต้องการยอมแพ้ให้กับเรื่องยากๆ ในปัจจุบัน และขอกลับไปสู่อดีตที่เคยหอมหวานอีกครั้ง โดยละทิ้งปัญหาทุกอย่างไว้ กับอีกคนที่ไม่ได้มีพรที่ทำให้เธอกลับไปแก้ไขอะไรได้เลย แต่เธอกับตั้งใจทำ ‘วันนี้’ ให้ดีที่สุด และเชื่อว่าชีวิตจะดีขึ้นได้ ถ้าไม่ยอมแพ้ และนี่คือพลังของความเป็นปัจจุบันที่กินใจเรามากๆ
และเรื่องสุดท้ายที่เราจะพูดถึง เชื่อว่าคงเป็นเรื่องที่หลายคนชื่นชอบกันไม่น้อย นั่นก็คือ ‘Lovely Runner’ ซีรีส์รอมคอม ที่เล่าเรื่องราวของ อิมซล (คิมฮเยยุน) หญิงสาวผู้ประสบอุบัติเหตุจนไม่สามารถเดินได้จนหมดสิ้นความหวังในการใช้ชีวิต ทว่าเธอกลับมามีแรงใจในการใช้ชีวิตอีกครั้ง เมื่อเธอได้รับกำลังใจดีๆ จาก รยูซอนแจ (บยอนอูซอก) ไอดอลเกาหลีใต้ชื่อดัง แต่โชคชะตากับเล่นตลก ขณะที่อิมซล กลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติแม้จะกลายเป็นผู้พิการ แต่ซอนแจ กลับเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองลงจนออกข่าวใหญ่ อิมซลผู้กำลังใจสลายกับเหตุการณ์สะเทือนใจนี้ ได้โอกาสที่จะย้อนเวลากลับไปในอดีต ตอนเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับซอนแจ และทำให้เธอเลือกที่จะใช้โอกาสนี้ช่วยชีวิตซอนแจ ไม่ให้เขาฆ่าตัวตายในอนาคต
สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากการย้อนเวลาของอิมซล คือการที่เธอได้กลับมาเห็นว่า เธอในอดีตได้พลาดอะไรไปบ้าง ทั้งพลาดที่จะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ เพราะตอนนั้น เธอดูเป็นหญิงสาวที่เขินอายกับหลายๆ อย่าง พลาดที่จะรู้ว่าซอนแจ เป็นเพื่อนบ้านของเธอ เพราะตอนนั้น เธอแทบจะไม่สนใจอะไรเขาเลย พลาดที่จะได้ช่วยบ้านจากเหตุไฟไหม้ ที่ในครั้งนี้เธอสามารถช่วยบ้านที่เธอรักไว้ได้ทัน พลาดที่จะได้ดูแล และรับรู้ปัญหาลึกๆ ของซอนแจ เพื่อที่จะช่วยเขาไว้ได้ทัน และอีกมากมายหลายเหตุการณ์ที่เธอพลาด แต่ได้รับ ‘โอกาส’ กลับไปแก้ไขได้
การมีอยู่ของซีรีส์เรื่องนี้ จึงสอนให้เรา มองดูสิ่งรอบตัว คนรอบข้าง และ ‘ใส่ใจ’ มันมากกว่าที่เป็นอยู่ ใช้เวลากับมันให้ดีที่สุด เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียดายภายหลังว่าทำไมวันนั้นเราถึงไม่ทำแบบนั้น แบบนี้ เพราะในชีวิตจริงคนเราไม่มีทางมีโอกาสที่จะกลับไปแก้อะไรที่เราพลาดไว้ได้แบบในซีรีส์นะ
แม้ว่าวันนี้ บางคนจะรู้สึกไม่มีความสุข ท้อใจ และผิดหวังกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต จนอยากจะย้อนเวลากลับไปแก้ไข หรือข้ามเวลาไปยังอนาคต เพื่อให้รู้ได้เลยทันทีว่า ชีวิตในวันข้างหน้าเราจะมีความสุขได้จริงไหม เราขอส่งกำลังใจให้ทุกคน ผ่านพ้นทุกความรู้สึกแย่นี้ไปได้อย่างดี
แม้ว่าเราในปัจจุบัน จะไม่เป็นแบบที่เคยคิดไว้ในอดีต แต่ก็ใช่ว่า ความเป็นเราในวันนี้จะไม่มีคุณค่า หรือสามารถแก้ไขชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นได้ในอนาคตนะ การอยู่กับวินาทีตอนนี้ และใช้มันให้คุ้มค่า กวาดสายตามองหาความสุขเล็กๆ รอบตัว และใส่ใจความรู้สึกตัวเองและคนที่เรารักมากๆ จะเป็นสิ่งยืนยันว่าในอนาคตเราจะไม่เสียใจอะไรเลย ถ้าเราได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้วในทุกๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมา