คู่มือ Modern Parenting

ยุค AI ที่การดูแลเด็กไม่ใช่การควบคุม แต่คือการให้ความใส่ใจ

เราอาศัยอยู่ในยุคที่พ่อแม่รู้สึกหวาดกลัวมากกว่าทุกยุค ไม่ใช่เพราะโลกอันตรายขึ้น แต่เพราะเรา รู้ว่า มันอาจจะอันตรายได้อย่างไร ทุกเช้าที่เราปลุกลูกขึ้นนอน เรารู้ว่าวันนี้เขาจะต้องเผชิญกับโลกที่ซับซ้อนกว่าโลกที่เราเคยโตมาเสียอีก

เราได้ยินเรื่องราวที่น่ากังวล เช่น เด็กติดโซเชียลมีเดียจนนอนดึก อัลกอริทึมที่ค่อยๆ บิดเบือนความเป็นจริงของพวกเขา AI ที่กำลังจะแย่งงานของลูกเราในอนาคต และความเหงาอันเงียบงันที่ซ่อนอยู่หลังหน้าจอที่สว่างไสวนั่น

ความรักของพ่อแม่จึงแปรสภาพเป็นความต้องการการสั่งและควบคุมอย่างง่ายดาย เราติดตั้งแอปพลิเคชันตรวจสอบการใช้งาน จำกัดเวลาหน้าจอ กรองเนื้อหาอันตราย และรู้สึกว่าเรากำลัง “ปกป้อง” ลูก เราตั้งกฎมากมาย บังคับใช้อย่างเข้มงวด และหวังว่ามันจะทำให้ลูกปลอดภัย

แต่ท่ามกลางความพยายามทั้งหมดนี้ เราอาจจะลืมไปว่า การปกป้องที่มากเกินไปอาจกลายเป็นกรงทอง และกรงทองก็ยังคงเป็นกรงอยู่ดี

คำถามที่แท้จริงอาจจะอยู่ที่ไม่ใช่ว่าเราจะควบคุมลูกได้มากแค่ไหน แต่คือ เราจะเดินเคียงข้างพวกเขาในโลกที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างไร โดยไม่ทำลายความเป็นตัวของตัวเองที่พวกเขากำลังค้นหา

ความแตกต่างระหว่าง “การควบคุม” และ “การใส่ใจ”

เส้นแบ่งระหว่างการควบคุมและการใส่ใจนั้นบางและคลุมเครือ ทั้งสองอย่างต่างเกิดจากความรัก แต่นำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

การควบคุมเกิดจากความกลัว มันคือความพยายามที่จะสร้างโลกที่ปลอดภัยโดยการตัดความเป็นไปได้ทั้งหมดที่อาจจะเป็นอันตราย

  • การตัดสินใจแทนเด็ก เพราะเรากลัวว่าเขาจะตัดสินใจผิด และเราไม่อยากเห็นเขาเจ็บปวด
  • การสร้างกฎเกณฑ์โดยไม่อธิบายเหตุผล เพราะเราคิดว่าความเป็นพ่อแม่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้กฎนั้นถูกต้อง
  • การใช้เทคโนโลยีเฝ้าระวังโดยไม่มีบทสนทนา เราดูประวัติการท่องเว็บ อ่านข้อความ แต่ไม่เคยถามว่าลูกรู้สึกอย่างไร
  • ความต้องการให้ลูกเป็นไปตามภาพที่เราวาดไว้ เราต้องการให้เขาปลอดภัย ประสบความสำเร็จ และ “ดี” ตามนิยามของเรา

ตัวอย่างของการควบคุม:

“ห้ามใช้โทรศัพท์หลัง 8 โมง ไม่ต้องถามว่าทำไม นี่คือกฎของบ้าน ถ้าฝ่าฝืนจะถูกยึดโทรศัพท์ทันที”

ข้อความนี้ดูเหมือนมีเหตุผล ดูเหมือนเป็นการ “สอน” แต่ที่จริงมันปิดกั้นโอกาสในการเรียนรู้ เด็กเชื่อฟังเพราะกลัว ไม่ใช่เพราะเข้าใจ และเมื่อความกลัวหายไป (เมื่อโตขึ้น เมื่ออยู่คนเดียว) การเชื่อฟังและพฤติกรรมนั้นก็จะหายไปด้วย

การใส่ใจเกิดจากความอยากรู้และความเคารพ มันคือความพยายามที่จะเข้าใจโลกของลูก และช่วยให้เขาเรียนรู้ที่จะเดินในโลกนั้นด้วยตัวเอง

  • การเข้าใจว่าเด็กกำลังเผชิญกับอะไร แทนที่จะด่วนสรุปจากมุมมองของเรา
  • การสร้างพื้นที่สำหรับความผิดพลาดและการเรียนรู้ เพราะเรารู้ว่าความผิดพลาดคือครูที่ดีที่สุด
  • การเป็นผู้ร่วมทางในโลกดิจิทัล ไม่ใช่ผู้คุมประตู เราเดินไปด้วยกัน ไม่ใช่สั่งจากข้างหลัง
  • ความพยายามที่จะเห็นโลกผ่านสายตาของลูก แม้มันจะแตกต่างจากสายตาของเราก็ตาม

ตัวอย่างของการใส่ใจ:

“เราคุยกันหน่อยได้ไหมว่า เวลาที่ใช้โทรศัพท์ก่อนนอนทำให้เธอรู้สึกอย่างไร? พ่อ/แม่สังเกตว่าบางทีลูกดูเหนื่อยตอนเช้า เราลองหาจุดสมดุลด้วยกันได้ไหม ที่ทั้งลูกได้เวลาที่ต้องการ แต่ก็ยังนอนหลับพักผ่อนได้ดี”

นี่ไม่ใช่การปล่อยปละละเลย นี่คือการเคารพว่าลูกก็มีเหตุผลของเขา มีความต้องการของเขา และสามารถเรียนรู้ที่จะดูแลตัวเองได้ ถ้าเราให้โอกาส

จุดแตกต่างที่สำคัญของการควบคุมและการใส่ใจ คือ การควบคุม เริ่มต้นจากคำถามที่ว่า  “ฉันจะทำอย่างไรให้ลูกทำตามที่ฉันต้องการ?” ส่วนาการใส่ใจ ขะเริ่มต้นจากคำถามที่ว่า “ฉันจะช่วยลูกเรียนรู้ที่จะตัดสินใจด้วยตัวเองได้อย่างไร?”

การควบคุมสร้างการเชื่อฟัง การใส่ใจสร้างวิธีคิด

และในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบทุกวันนี้ “วิธีคิด” มีค่ากว่า “การเชื่อฟัง” เสียอีก

ศิลปะแห่งการเลี้ยงลูกท่ามกลางเทคโนโลยี

พ่อแม่สมัยก่อนกังวลเรื่องลูกปีนต้นไม้จะตกลงมา กังวลว่าลูกจะเล่นกับเพื่อนไม่ดี กังวลว่าจะไปไหนโดยไม่บอกกลับมาดึก แต่อย่างน้อยพวกเขารู้ว่าอันตรายอยู่ที่ไหน มองเห็นได้ จับต้องได้

เราคือพ่อแม่รุ่นแรกที่ต้องเผชิญกับอันตรายที่มองไม่เห็น อันตรายที่อยู่ในอุปกรณ์เล็กๆ ที่ลูกถือไว้ในมือ อันตรายที่แฝงตัวมาในรูปแบบของเกมที่สนุก วิดีโอที่น่าดู และเพื่อนที่ไม่เคยพบหน้า

เราจึงกลัว และความกลัวมักทำให้เราต้องการปิดกั้น ควบคุม และห้าม

แต่ก่อนที่เราจะทำแบบนั้น เราต้องเข้าใจก่อนว่า โลกดิจิทัลไม่ได้เป็นศัตรูที่เราต้องต่อสู้ มันเป็นความจริงของยุคสมัยใหม่ที่เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมด้วย

และนี่คือศิลปะของการอยู่ร่วมกับโลกดิจิตัลที่ Mappa รวบรวมไว้ให้

  1. เข้าใจว่าโลกดิจิทัลไม่ใช่ศัตรู

เราชอบคิดว่าเทคโนโลจีเป็นปัญหา เราดูข่าวเกี่ยวกับเด็กติดเกม เด็กฆ่าตัวตายเพราะถูกกลั่นแกล้งออนไลน์ แล้วก็รู้สึกว่าถ้าเราเอาโทรศัพท์ออกจากชีวิตลูก ทุกอย่างจะดีขึ้น

แต่ความจริงซับซ้อนกว่านั้นมาก

โทรศัพท์มือถือไม่ได้ทำลายเด็กของเรา แต่วิธีที่เราทั้งสังคม (รวมถึงตัวเด็กเอง และตัวเราด้วย) ใช้ มันอาจจะทำลายได้ มีดไม่ใช่ปัญหา แต่วิธีที่เราถือมีดต่างหาก

โลกดิจิทัลสามารถเป็นได้ทั้ง:

  • พื้นที่แห่งการเรียนรู้ ที่ลูกสามารถค้นหาความรู้ที่ไม่มีในตำราเรียน
  • พื้นที่แห่งการเชื่อมต่อ ที่เด็กเจอคนที่เข้าใจพวกเขา แม้จะอยู่คนละซีกโลก
  • พื้นที่แห่งการสร้างสรรค์ ที่พวกเขาสามารถแสดงออก สร้างผลงาน และแบ่งปันกับโลก

แต่มันก็สามารถเป็น:

  • พื้นที่แห่งการเปรียบเทียบและความไม่มั่นใจ ที่ทุกคนดูสมบูรณ์แบบ และเราดูไม่เอาไหน
  • พื้นที่แห่งการหลบหนี จากความรู้สึก จากความสัมพันธ์ จากตัวเอง
  • พื้นที่แห่งการถูกใช้ประโยชน์ โดยอัลกอริทึมที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจให้ได้มากที่สุด

คำถามที่เราควรถามไม่ใช่ว่า “ลูกใช้เทคโนโลยีวันละเท่าไหร่?” แต่คือ:

  • ลูกใช้เทคโนโลยีเพื่อ เชื่อมต่อ ใช้ประโยชน์ หรือ หลบหนี?
  • หน้าจอกำลังเสริมการใช้ชีวิต หรือแทนที่การใช้ชีวิต?
  • เด็กกำลังสร้างสรรค์อะไร หรือแค่บริโภค?
  • เทคโนโลยีทำให้เขารู้สึกดีขึ้น หรือแย่ลงหลังใช้งาน?

การตอบคำถามเหล่านี้ต้องอาศัยการสนทนา ไม่ใช่การตรวจสอบ

  1.  กฎเกณฑ์ที่มีความหมาย ไม่ใช่กฎที่มีแต่อำนาจ

กฎเกณฑ์มีความจำเป็น เด็กต้องการขอบเขต ต้องการความชัดเจน แต่ขอบเขตที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือขอบเขตที่เด็ก เข้าใจ และ ยอมรับ

แทนที่จะบอกว่า “ห้ามเล่นเกม 2 ชั่วโมง เพราะมันไม่ดี” ให้ลองถามว่า “เวลาที่ลูกเล่นเกม ทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง? พ่อ/แม่ไม่ได้บอกว่าเกมไม่ดี แต่อยากรู้ว่าหลังจากเล่นไป 3 ชั่วโมง ลูกรู้สึกมีพลังขึ้น หรือเหนื่อยล้าและหงุดหงิด?”

“ถ้าลูกออกแบบวันในฝันของลูก วันที่ลูกจะรู้สึกมีความสุขและภาคภูมิใจในตัวเองที่สุด จะมีเกมอยู่กี่ชั่วโมง? หรือจะมีอะไรอีกบ้าง?”

“เรามาคิดดูร่วมกันว่า อะไรคือสมดุลที่พอดี ระหว่างสิ่งที่สนุก กับสิ่งที่ทำให้ลูกเติบโต”

เด็กที่เข้าใจเหตุผลจะปฏิบัติตามด้วยใจ เด็กที่ถูกบังคับจะหาทางหลีกเลี่ยง และเมื่อเขาเรียนรู้ที่จะตั้งคำถามกับตัวเองเช่นนี้ เขาจะสามารถควบคุมตัวเองได้ แม้เมื่อเราไม่อยู่

กฎที่ดีไม่ได้มาจากการบังคับ แต่มาจากการเจรจา:

  • ร่วมกันสร้างกฎ: “เราคิดว่ายังไงดีกับเรื่องใช้โทรศัพท์ตอนกินข้าว?”
  • อธิบายเหตุผลที่แท้จริง: “พ่อ/แม่อยากมีเวลาพูดคุยกับเธอโดยที่เราทุกคนตั้งใจฟังกัน ไม่ใช่เพราะโทรศัพท์ชั่วร้าย”
  • ยืดหยุ่นได้เมื่อสมควร: “วันนี้เป็นวันพิเศษ เราปรับกฎได้ แต่พรุ่งนี้กลับมาตามปกติ”
  • ทบทวนเป็นระยะ: “กฎที่เราตั้งไว้เมื่อ 6 เดือนก่อน มันยังเหมาะสมอยู่ไหม?”

3. เป็นแบบอย่างที่ดี (แม้มันจะยากลำบาก)

เราไม่สามารถสอนให้ลูกวางโทรศัพท์ได้ ในขณะที่เราเองก็จ้องหน้าจอตลอดมื้ออาหาร เด็กไม่ได้เรียนรู้จากสิ่งที่เราพูด แต่เรียนรู้จากสิ่งที่เราทำ ถ้าเราบอกว่า “ความสัมพันธ์สำคัญ” แต่เราเช็คอีเมลขณะที่ลูกพยายามเล่าเรื่องให้ฟัง ลูกจะเรียนรู้ว่า งานสำคัญกว่าคน

การทดสอบความซื่อสัตย์กับตัวเอง:

  • เราเช็คอีเมลหรือโซเชียลมีเดียบ่อยแค่ไหนตอนอยู่กับลูก?
  • เราพูดว่า “เดี๋ยวนะลูก พ่อ/แม่ทำงานก่อน” กี่ครั้งในหนึ่งวัน?
  • เรารู้สึกอึดอัดไหมถ้าต้องอยู่กับตัวเองโดยไม่มีหน้าจอสักชั่วโมง?
  • เราใส่ใจกับ “ช่วงเวลาปลอดหน้าจอ” ของตัวเองจริงหรือไม่?
  • ครั้งสุดท้ายที่เรานั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลยคือเมื่อไร?

ถ้าเราตอบคำถามเหล่านี้แล้วรู้สึกอึดอัดใจ นั่นคือสัญญาณที่ดี เพราะมันหมายความว่าเรายังมีความซื่อสัตย์กับตัวเอง

สิ่งที่เราสามารถทำได้:

  • ประกาศให้ลูกรู้: “พ่อ/แม่กำลังจะวางโทรศัพท์เพื่อเล่นกับเธอตอนนี้” (การประกาศทำให้มันเป็นเจตนา ไม่ใช่บังเอิญ)
  • สร้าง “โซนปลอดโทรศัพท์” ในบ้าน ที่ไม่มีใครได้เอาอุปกรณ์เข้าไป 
  • บอกความจริงเมื่อเราใช้หน้าจออย่างเกินพอดี “พ่อ/แม่เองก็ติดโทรศัพท์บ้าง และกำลังพยายามควบคุมให้ได้”

ความสมบูรณ์แบบไม่ใช่เป้าหมาย ความตั้งใจคือเป้าหมาย และการที่ลูกเห็นเราพยายาม ล้มเหลว และลุกขึ้นลองใหม่ มันคือบทเรียนที่ทรงคุณค่าที่สุด

การเลี้ยงลูกในยุคที่เครื่องจักรฉลาดขึ้นทุกวัน

เราอยู่ในยุคที่น่าตื่นเต้นและน่ากลัวไปพร้อมกัน ChatGPT เขียนเรียงความได้ดีกว่านักเรียนชั้นมัธยมส่วนใหญ่ ภาพที่สร้างโดย AI สวยงามกว่าภาพวาดมือหลายชิ้น หุ่นยนต์ผ่าตัดได้แม่นยำกว่าศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ และในอีกไม่กี่ปี AI อาจจะทำงานได้หลายอย่างที่เราคิดว่าต้องใช้มนุษย์

ดังนั้น เราควรสอนอะไรให้ลูกในยุคที่ความรู้ไม่ได้เป็นความได้เปรียบอีกต่อไป?

ทักษะที่ 1: ความเห็นอกเห็นใจ (Empathy)

AI สามารถเข้าใจข้อมูล วิเคราะห์อารมณ์จากข้อความ แต่มันไม่สามารถ รู้สึก ได้ว่าการสูญเสียคนที่รักเป็นอย่างไร หรือความดีใจเมื่อเพื่อนประสบความสำเร็จ

สอนลูกให้หยุด ฟัง สบตา และถามว่า “เธอรู้สึกอย่างไร?” ไม่ใช่เพื่อแก้ปัญหา แต่เพื่อเข้าใจ

ทักษะที่ 2:การตั้งคำถาม (Questioning)

เครื่องจักรตอบคำถามได้ดี แต่มันต้องมีมนุษย์ถามคำถามที่ป้อนให้

สอนลูกให้อยากรู้อยากเห็น ให้ถามว่า “เพราะอะไร?” ให้ตั้งคำถามกับสิ่งที่ทุกคนถือว่าเป็นความจริง

ทักษะที่ 3:ความคิดสร้างสรรค์แบบมีจิตวิญญาณ (Soulful Creativity)

AI สร้างผลงานได้ดี แต่มันไม่มี เหตุผลที่จะสร้าง

ผลงานของมนุษย์มีน้ำหนัก เพราะมันมาจากประสบการณ์ ความเจ็บปวด ความหวัง บทเพลงที่เกิดจากการอกหัก ภาพวาดที่เกิดจากความโกรธ เรื่องเล่าที่เกิดจากความคิดถึง สิ่งเหล่านี้มีอะไรบางอย่างที่ AI จำลองไม่ได้

ทักษะที่ 4:จริยธรรมและการตัดสินใจในเรื่องที่ยาก (Ethical Judgment)

เครื่องจักรคำนวณได้ว่าอะไร ทำได้ แต่มันไม่สามารถตัดสินว่าอะไร ควร จะทำ

AI บอกได้ว่ายาตัวไหนมีประสิทธิภาพ แต่บอกไม่ได้ว่าควรจะให้ใครได้รับยาก่อนเมื่อยามีไม่พอ AI วิเคราะห์ข้อมูลได้ แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าเราควรเก็บข้อมูลส่วนตัวของคนอื่นหรือไม่

สอนลูกให้คิดเรื่องผิดถูก ไม่ใช่แค่ประโยชน์ ให้ถามว่า “ถ้าทุกคนทำแบบนี้ โลกจะเป็นอย่างไร?”

ทักษะที่ 5:ความสามารถในการเชื่อมโยงความคิด (Connecting Ideas)

AI เก่งในการวิเคราะห์ข้อมูล แต่มนุษย์เก่งในการนำความรู้จากหลายสาขามาผสมผสานกัน

สอนลูกให้อยากรู้อยากเห็นในเรื่องราวหลากหลายเรื่อง จิตวิทยากับการออกแบบสถาปัตยกรรมเชื่อมโยงกันอย่างไร ? การอ่านนิยายช่วยให้เข้าใจประวัติศาสตร์ได้อย่างไร?

สอนลูกให้ใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ไม้เท้า

เราอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่คล้ายกับยุคที่อินเทอร์เน็ตเพิ่งเกิดขึ้น ตอนนั้นก็มีคนกลัวเหมือนกันว่าเด็กจะเลิกคิดเอง จะคัดลอกทุกอย่างจากเว็บ แต่สุดท้ายเราก็เรียนรู้ที่จะใช้อินเทอร์เน็ตอย่างมีสติ

เราไม่ควรห้ามลูกใช้ AI แต่เราต้องสอนให้ลูกใช้อย่างชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น 

ใช้ AI เพื่อ เสริม ความคิด ไม่ใช่ แทน ความคิด

ถ้าลูกถาม AI ว่า “เขียนเรียงความเรื่องมิตรภาพให้หน่อย” และนำมาส่งครูเลย นั่นคือการใช้ AI เป็นไม้เท้า แต่ถ้าลูกถาม AI ว่า “มิตรภาพในมุมมองของนักปรัชญาคนต่างๆ คืออะไร?” แล้วใช้คำตอบนั้นเป็นจุดเริ่มต้นคิดต่อว่าตัวเองมองมิตรภาพอย่างไร นั่นคือการใช้ AI เป็นเครื่องมือ

ตรวจสอบข้อมูลจาก AI ด้วยวิจารณญาณ

AI ฉลาด แต่ไม่ได้รอบรู้ทุกเรื่อง บางครั้งมันก็ผิด บางครั้งมันก็สร้างข้อมูลปลอมขึ้นมาด้วยความมั่นใจ สอนลูกให้ถามว่า:

  • “ข้อมูลนี้มาจากไหน?”
  • “ถ้าฉันถาม AI อีกครั้งในคำถามที่แตกต่างกันเล็กน้อย คำตอบจะเหมือนเดิมไหม?”
  • “ข้อมูลนี้สมเหตุสมผลไหม? หรือแปลกๆ?”

เข้าใจว่า AI มีอคติและข้อจำกัด

AI เรียนรู้จากข้อมูลที่มนุษย์สร้าง และมนุษย์ก็มีอคติ ถ้าข้อมูลที่ใช้ฝึก AI เต็มไปด้วยอคติทางเพศ ทางเชื้อชาติ AI ก็จะมีอคติเหล่านั้นด้วย

สอนลูกให้สังเกตว่า:

  • AI แนะนำอาชีพอะไรให้ผู้ชายและผู้หญิงบ้าง มันมีอคติไหม?
  • เมื่อสร้างภาพคน AI สร้างคนผิวสีอะไรออกมาบ่อยที่สุด?
  • AI พูดถึงบางประเทศหรือบางวัฒนธรรมในทางใด?

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้ แสดงว่าคุณเป็นพ่อแม่ที่ห่วงใย ที่อยากทำให้ดีที่สุด

และนั่นเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าคุณทำทุกอย่างถูกต้อง แต่คือคุณใส่ใจพอที่จะอ่าน พอที่จะเรียนรู้ พอที่จะพยายาม

ลูกของคุณจะไม่จำว่าคุณตั้งกฎกี่ข้อ ติดตั้งแอปควบคุมตัวไหน หรือจำกัดเวลาหน้าจออย่างเคร่งครัดแค่ไหน

แต่พวกเขาจะจำได้ว่า:

  • คุณฟังพวกเขาไหม
  • คุณเข้าใจพวกเขาไหม
  • คุณอยู่กับพวกเขาไหม

การเป็นพ่อแม่ในยุค AI ไม่ได้ยากเพราะเทคโนโลยี แต่ยากเพราะเราต้องต่อสู้กับความกลัวของเราเอง กลัวว่าจะไม่เพียงพอ กลัวว่าจะทำผิดพลาด กลัวว่าจะ “พลาด” อะไรไป

แต่จำไว้ว่า ความรักที่มีความกลัวมากเกินไปจะกลายเป็นการควบคุม และความรักที่มีความไว้วางใจจะกลายเป็นความเป็นอิสระ

ดังนั้น หายใจเข้าลึกๆ ปล่อยความกลัวออกไป และไว้วางใจว่า ถ้าคุณสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ถ้าคุณสื่อสารอย่างเปิดเผย ถ้าคุณอยู่กับลูกอย่างแท้จริง พวกเขาจะสามารถเดินในโลกดิจิทัลนี้ได้ ไม่ใช่เพราะคุณควบคุมทุกอย่าง แต่เพราะคุณสอนให้พวกเขาควบคุมตัวเอง

เราไม่สามารถป้องกันไม่ให้ลูกพบกับความยากลำบากได้ แต่เราสามารถทำให้พวกเขารู้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่ได้เผชิญมันคนเดียว

เพราะพ่อแม่อยู่ตรงนี้ เสมอ


Related Posts